ขอน้อมอาลัย สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์

เว็บนี้สามารถใช้งานได้ตามปกติแล้ว



ร่วมเติมเต็มทุกหัวใจของคนที่มีรักได้ที่นี่

แล้วคุณจะรู้ว่า
ปรารถนาจะเป็นผู้สั่งการ
หัวใจคือผู้เร่งเร้าให้รุ่มร้อน
เรือนกายคือผู้ปฏิบัติตามปรารถนา
ทุกสิ่งจะเป็นไปตามครรลองของมันเองทุกประการ

ที่นี่จะรวมบทวิจารณ์ รวมถึงข่าวสารสาระที่เป็นประโยชน์ต่างๆไว้
โดยเฉพาะที่มาจากความคิดเห็นของผู้แต่งเอง
ทั้งนี้ผู้แต่งจะไม่ขอรับผิดชอบใดๆ อันเกิดจากการนำข้อความดังกล่าวที่ปรากฏในบล็อกไปใช้อย่างไม่เหมาะสม
เข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็น ติชม กันเยอะๆนะคะ
ขอบพระคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ


ด้วยความปราถนาดี

R-ka



ผู้เยี่ยมชมสามารถเข้าชมได้อีกบล็อกนึง คือ

http://www.rka-state.vox.com/


Mariah Carey - Bye Bye

lay on my high-heels

lay on my high-heels
งานบายเนียรปี2008 ค่ะ

วันจันทร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

วิพากษ์ จักรภพ เพ็ญแข



นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตผู้บริหารสถานีโทรทัศน์พีทีวี อดีตผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ และอดีตนักวิเคราะห์ข่าวต่างประเทศที่มีชื่อเสียง


นายจักรภพ เพ็ญแข เกิดปี พ.ศ. 2510 มีชื่อเล่นว่า “เอก” ศึกษาชั้นประถมศึกษา และมัธยมศึกษา ที่โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จากนั้น สอบเข้าศึกษาต่อ ที่คณะรัฐศาสตร์ สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อจบปริญญาตรีแล้ว จึงเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยจอนส์ฮอปกินส์ สหรัฐอเมริกา เริ่มทำงานครั้งแรกกับเครือเจริญโภคภัณฑ์อยู่ระยะหนึ่ง แล้วลาออกไปเข้ารับราชการเป็นเจ้าหน้าที่ทูต กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ต่อมาได้ลาออกมาทำงานสื่อมวลชนเต็มตัว โดยเป็นผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์หลายรายการ เป็นระยะเวลากว่าสิบปี


ได้รับการแต่งตั้งเป็นโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ต่อมาไม่นาน ก็ลงสมัครรับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในนามพรรคไทยรักไทย แต่ไม่ได้รับเลือกถึง 2 ครั้ง โดยครั้งแรก การเลือกตั้ง พ.ศ. 2548 นายจักรภพลงเลือกตั้งที่กรุงเทพฯ เขต 30 แทน นายจักรพันธุ์ ยมจินดา ว่าที่ผู้สมัครคนเดิมที่ถูก ศาลจังหวัดระยอง พิพากษาว่ามีความผิดใน คดีหมิ่นประมาท พ.ต.ท.พณาเจือเพ็ชร์ กฤษณะราช ทำให้นายจักรพันธุ์ ต้องเว้นวรรคทางการเมือง 10 ปี ผลการเลือกตั้ง นายจักรภพ แพ้ผู้สมัครจาก พรรคประชาธิปัตย์ คือ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ต่อมาครั้งที่สองใน การเลือกตั้ง 2 เมษายน 2549 นายจักรภพ เป็นผู้สมัครเพียงคนเดียวใน เขต 5 กรุงเทพมหานคร แต่ไม่ได้รับเลือกตั้ง เนื่องจากได้คะแนนเพียง 22,231 คะแนน คิดเป็น 17.27% ในขณะที่มีผู้ลงช่องไม่ลงคะแนน ถึง 55,141 คะแนน [1][2] อย่างไรก็ตามต่อมา นายจักรภพ ได้รับแต่งตั้งเป็น รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลทักษิณ 2
หลังจาก คดียุบพรรค นายจักรภพ พร้อมด้วยกลุ่มผู้บริหารสถานีโทรทัศน์พีทีวี และองค์กรต่อต้านเผด็จการ เป็นแกนนำจัดเวทีปราศรัยต่อต้านคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) และรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ขึ้นที่ท้องสนามหลวง ใช้ชื่อว่า “แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ” (นปก.) ต่อมา เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้นายจักรภพ เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่กำกับดูแลสื่อมวลชนภาครัฐ ในวันที่ 1 เมษายน ปีเดียวกัน นายจักรภพ เป็นประธานในการเปลี่ยนแปลง สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 เป็น สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (เอ็นบีที)


นายจักรภพถูกตั้งข้อสงสัยถึงทัศนคติเกี่ยวกับสังคมไทย สืบเนื่องจากการปาฐกถาเป็นภาษาอังกฤษในหัวข้อเรื่อง “ระบบอุปภัมภ์ ในฐานะที่เป็นอุปสรรคขัดขวางความเป็นประชาธิปไตย” เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (เอฟซีซีที) หลังจากที่เขาถูกจับกุมบริเวณหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ และการบรรยายเป็นภาษาไทยต่อเครือข่ายคนรักทักษิณที่นครลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน[3]
จากกรณีดังกล่าว พันตำรวจโท วัฒนศักดิ์ มุ่งกิจการดี พนักงานสืบสวน (สบ.2) สถานีตำรวจนครบาลบางมด ช่วยราชการสถานีตำรวจนครบาลพหลโยธิน แจ้งความต่อกองปราบปรามว่า เนื้อหาการปาฐกถาของนายจักรภพเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ[4]


นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ทำหนังสือถึงนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้พิจารณาเนื้อหาของคำกล่าวทั้งสองครั้ง โดยเห็นว่าเป็นทัศนคติที่เป็นอันตรายต่อระบบการปกครอง พร้อมกับเรียกร้องให้นายสมัครพิจารณาปลดนายจักรภพออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี


ทั้งนี้ มีการเผยแพร่วีซีดี และแปลรายละเอียดคำบรรยายเป็นภาษาไทยออกไปอย่างลับ ๆ และกว้างขวางในแวดวงข้าราชการพลเรือน ตำรวจ และทหาร โดยเชื่อว่ามีภรรยาของนายทหารคนหนึ่งเป็นผู้เผยแพร่[5] ระหว่างนั้น นายจักรภพได้ให้สัมภาษณ์ว่าคำแปลที่ออกมาคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ตนมิได้มีเจตนาเช่นนั้น รวมทั้งยืนยันในความจงรักภักดีและความบริสุทธิ์ใจของตนเอง ต่อมาในช่วงระหว่างวันที่ 21-23 พฤษภาคม นายจักรภพมิได้เข้ามาปฏิบัติภารกิจที่ทำเนียบรัฐบาล โดยมิได้แจ้งลาราชการ


แต่ทั้งนี้ ในวันที่ 22 พฤษภาคม นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อดีตแกนนำ นปก. แถลงข่าวที่ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ว่านายจักรภพจะเปิดแถลงข่าวในวันที่ 26 พฤษภาคม เวลา 14.00 น. เพื่อชี้แจงถึงคำปาฐกถาและคำบรรยายต่าง ๆ ที่เป็นปัญหาทั้งหมด พร้อมเปิดให้สื่อมวลชนสอบถามประเด็นที่สงสัยทุกเรื่องด้วย ต่อมา ค่ำวันที่ 23 พฤษภาคม นายจักรภพปรากฎตัวในงานฉลองวันเกิดครบรอบ 60 ปี ของนายวีระ มุสิกพงศ์ อดีตประธาน นปก. พร้อมให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว ยืนยันการแถลงข่าวในวันที่ 26 พฤษภาคม ที่ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาลแน่นอน พร้อมให้รอฟังการตัดสินใจถึงอนาคตทางการเมืองของตน


เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) พร้อมด้วยสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ได้ยื่นหนังสือต่อประธานวุฒิสภา เพื่อให้ส่งเรื่องต่อไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวหาว่านายจักรภพกระทำการส่อไปในทางจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อกฎหมายและบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ รวมถึงอาจเข้าข่ายมีการแทรกแซงสื่อ[6] รายละเอียดของข้อกล่าวหาดังกล่าว มีดังนี้
กรณีการกำกับดูแลสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ซึ่งเชื่อว่ามีความไม่โปร่งใสในขั้นตอนการดำเนินการของกรมประชาสัมพันธ์ ในการจัดหาและจัดจ้างบริษัทคู่สัญญา และการทำสัญญากับบริษัท ดิจิตอล มีเดีย โฮลดิ้ง จำกัด ที่เชื่อว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน
กรณีการเปิดโอกาสให้วิทยุชุมชนเข้าแสดงตัว ที่เชื่อว่ามีการยื่นข้อเสนอต่อผู้ประกอบการ ให้ยอมรับเงื่อนไขในการเป็นเครือข่ายของรัฐบาล ในการนำเสนอข่าวสารเพื่อแลกกับการละเว้นดำเนินคดี
กรณีการแต่งตั้งคณะกรรมการกิจการวิทยุกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ซึ่งเชื่อว่ามีการสกัดกั้นให้การแต่งตั้ง กสทช.เป็นไปอย่างล่าช้า เพื่อให้เอื้ออำนวยต่อการใช้อำนาจหน้าที่ เข้าแทรกแซงการทำงานสื่อมวลชนได้ต่อไป โดยระหว่างนี้ก็เชื่อว่ามีการเข้าแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของ คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ที่กำกับดูแลคลื่นความถี่วิทยุโทรทัศน์อยู่ในขณะนี้ด้วย
กรณีการให้นโยบายกับกรมประชาสัมพันธ์ โดยให้ออกระเบียบห้ามมิให้สื่อมวลชนของรัฐสนับสนุนการทำรัฐประหาร ไม่อนุญาตให้ผู้ปฏิบัติงานแสดงท่าทีสนับสนุนรัฐประหารผ่านสื่อมวลชนของรัฐ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ตลอดจนการนำสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยกลับมาดำเนินการเอง เช่นเดียวกับที่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) เคยดำเนินการกับสถานีวิทยุ อสมท โมเดิร์น เรดิโอมาแล้ว แต่ในครั้งนั้นกลับไม่มีผู้ใดคัดค้านแต่อย่างใด
กรณีการดำเนินการกับผู้ดำเนินรายการวิทยุ ที่เชื่อว่ามีการสั่งให้สถานีวิทยุวิสดอมเรดิโอ เอฟ.เอ็ม.105 เมกกะเฮิร์ทซ์ ปลดนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ออกจากการเป็นผู้ดำเนินรายการ ซึ่งนำเสนอบทความวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลและนายกรัฐมนตรี ทั้งที่ความจริงเป็นการลาออกด้วยตัวเอง เพื่อกล่าวหาว่ามีการกดดันให้ปลดออก


ผลงานหนังสือ
สงครามสุดท้าย? เมื่อมหาอำนาจจัดระเบียบโลก. กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, 2544. ISBN 978-974-7381-98-6
ในทีวีไม่มีเทวดา (นะครับ). กรุงเทพฯ : สีดา, 2545. ISBN 978-974-7727-43-2
100 ความเชื่อ 100 ความจริง. กรุงเทพฯ : สารคดี, 2546. ISBN 978-974-484-030-1
พันธมิตรหรือพันธมาร. กรุงเทพฯ : ผู้จัดการ, 2546. ISBN 978-974-91468-8-0
ขอบฟ้าที่ตาเห็น. กรุงเทพฯ : ดีเอ็มจี, 2547. ISBN 978-974-91545-4-0
ชำเราชาวอิรัก. กรุงเทพฯ : Openbooks, 2547. ISBN 978-974-92602-5-8
ทะเลทรายกับสายหมอก. กรุงเทพฯ : ดีเอ็มจี, 2547. ISBN 978-974-92486-4-5
โลก...สุขกับโศก มิได้สิ้นอย่าสงสัย. กรุงเทพฯ : ดีเอ็มจี, 2548. ISBN 978-974-92883-1-3
สยามตามหาเพื่อน. กรุงเทพฯ : ดีเอ็มจี, 2548. ISBN 978-974-93257-1-1
หยดเลือดในทะเลทราย. กรุงเทพฯ : ดอกหญ้ากรุ๊ป, 2549. ISBN 978-974-94525-6-1
โลกทั้งใบให้ไทยเมืองเดียว. กรุงเทพฯ : ตกผลึก, 2550. ISBN 978-974-09-2414-2
ประชาธิปไตยในกรงขัง. กรุงเทพฯ : เพื่อนพ้องน้องพี่, 2550.
กลอนผ่านกระจก"


ใบสั่งเก็บ... จักรภพ เพ็ญแข
คำประกาศลอยแพ "จักรภพ เพ็ญแข" รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ด้วยการยืมปากของ "พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ" อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายแต่อย่างใด


เพราะ "วาจากร้าว" ที่หลุดออกจากปาก "จักรภพ" ระหว่างกล่าวปาฐกถาที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศ (เอฟซีซีที) เมื่อ 29 สิงหาคม 2550 จนถูกฝ่ายค้านตราหน้าว่าเป็น "บุคคลที่มีทัศนคติอันตราย" เป็นเรื่องที่ต่อให้ "คนใหญ่" แค่ไหน ก็ไม่อาจเคลียร์ได้ นอกเสียจากปล่อยให้ "จักรภพ" รับผิดชอบปากตัวเอง..!

อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่าพฤติกรรมดึงฟ้าลงต่ำ-แอบอ้างสถาบัน เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในภาวะที่ 2 ขั้วการเมืองกำลังรบพุ่ง แต่ในกรณี "จักรภพ" สังคมต่างรู้ดีว่าเขาไม่ได้สู้เพื่อตัวเอง แต่เป็นการต่อสู้แทน "ใคร" บางคน "ใคร" คนนั้นจะเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกเสียจาก "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี

1 ปีผ่านไป... "องครักษ์พิทักษ์นาย" ได้รับค่าเหนื่อยเป็นเก้าอี้รัฐมนตรี และเขาน่าจะทำหน้าที่ "ตัวล่อ-ตัวชน" ต่อไปได้ หาก "มือที่มองไม่เห็น" ไม่งัด "วีรกรรมย่ามใจ" ในอดีตขึ้นมาล่อจนกระอัก


ผลจากการไล่เด็ดหัว "จักรภพ" เพียงคนเดียว ได้สร้างแรงสะเทือนต่อคนในพรรคพลังประชาชนเกือบยกแผง เนื่องจากหลักฐานชิ้นสำคัญว่าด้วย "วาทกรรมจักรภพ" ได้ฉายให้เห็นถึง "แนวรบ-แนวร่วม-ปลายทางในการต่อสู้" แบบหมดหน้าตัก และงานนี้ "วงในพรรคพลังประชาชน" ประเมินว่าเรื่องวุ่นๆ ที่เกิดจาก "รัฐมนตรีมุ้งสายบัว" ทำท่าจะสงบไม่ลง จึงไม่แปลก หากจะมีใบสั่ง "ตัดตอน" นักรบผู้นี้..?


แต่ครั้น "นายใหญ่" จะลงไปบัญชาการเขี่ย "จักรภพ" ให้พ้นทางด้วยการปรับออกจากคณะรัฐมนตรีก็ทำไม่ได้ เพราะจะทำให้บรรดาขุนพล แม่ทัพ นายกองที่ขยันออกมาท้าตีท้าต่อยกับ "อรินาย" ตกอยู่ในอาการฝ่อ ฐานลูกพี่ไม่ปกป้อง พอเสร็จนาก็ฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล


ทางออกที่ดีที่สุดจึงอยู่ที่การยืมมือ "บุคคลที่ 3" ลงดาบเชือดนิ่มๆ! "ดาบแรก" มี "ขุนพลคู่ใจ" ที่ชื่อ "เนวิน ชิดชอบ" หัวหน้าวังบุรีรัมย์ เป็นผู้รับมอบ ก่อนส่งซิกให้ "ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง" โฆษกพรรคพลังประชาชน กลุ่มเพื่อนเนวิน ออกมาแกว่งดาบโชว์ พร้อมแกว่งปากสะกิดต่อมรับผิดชอบต่อองค์กรของ "จักรภพ"


"ดาบสอง" ถูกส่งต่อให้ "พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ" อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ออกมาปูดข่าว "ขบวนการล้มปืน ล้มทุน ล้มเจ้า" ว่ากันว่างานนี้มีการจัดฉาก-เตรียมคิวล่วงหน้า โดย "พ.ต.ท.ทักษิณ" ได้เลื่อนเวลาตบเท้าเข้าอวยพรวันคล้ายวันเกิดปีที่ 76 ของ "บิ๊กจิ๋ว" เมื่อ 15 พฤษภาคม จากเดิมตั้งใจจะย่องไปอวยพรเงียบๆ ในเวลา 07.00 น. เป็น 09.00 น. เพื่อให้มีประจักษ์พยานร่วมรู้เห็นการกลับไปเป็น "โซ่เส้นเดียวกัน" ของ "พี่จิ๋ว-น้องแม้ว"


สุดท้ายก็เป็น "บิ๊กจิ๋ว" นั่นเองที่ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า "พ.ต.ท.ทักษิณ ห่วงใยมากในสิ่งที่คุณจักรภพพูด คุณจักรภพต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ คงต้องพิจารณาว่าจะทำอย่างไร"


"ดาบสาม" กลับคืนไปอยู่ในมือของ "หัวหน้าวังบุรีรัมย์" ซึ่งพรั่งพร้อมด้วยสรรพกำลัง มี ส.ส.ในสังกัดกว่า 90 ชีวิต และยังมากด้วยข้อมูล "อินไซด์" ของบุคคลที่ตกอยู่ในสภาพ "เชลยทหาร" เนื่องจากเคยร่วมต่อสู้ในฐานะ "นักรบเสื้อแดง" มาด้วยกัน


หาก "เพชฌฆาต" ได้รับสัญญาณให้ลงดาบเมื่อไร ปฏิบัติการฆ่าตัดตอน "จักรภพ" ย่อมสำเร็จเมื่อนั้น ว่ากันว่าในระยะหลังมานี้ "นายใหญ่และแกนนำวังจันทร์ส่องหล้า" ยอมปล่อยให้ "หัวหน้าวังบุรีรัมย์" แสดง "อำนาจเหนือ" กว่าในการตัดสินใจครั้งสำคัญหลายเรื่อง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะต้องการโลว์โพรไฟล์ตัวเอง เพื่อลดแรงปะทะจากทั้งภายในและภายนอก ขณะที่อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะต้องการรอรับผลตอบแทน โดยไม่ต้องออกแรง


ดังนั้นการเสีย "นักรบฝีปากกล้า" ไปหนึ่งคนจึงไม่มีผลอะไรต่อ "แนวรบ-แนวร่วม-เป้าหมายในการต่อสู้" ของพ.ต.ท.ทักษิณ เพียงแต่ต้องจัด "ขุนพล" และ "ปรับยุทธวิธี" ให้แนบเนียนมากขึ้นเท่านั้น


หากยังจำกันได้ในช่วงปลายรัฐบาล "ทักษิณ 2" ปี 2549 มีข้อเสนอจากแกนนำพรรคไทยรักไทยให้พ.ต.ท.ทักษิณ "เว้นวรรค" และหันไปเล่นบทบาทผู้ใหญ่ทางการเมือง คอยให้คำปรึกษาแก่นักการเมืองรุ่นหลัง แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 บทบาท "ผู้นำนอกทำเนียบฯ" ก็หายไป กระทั่งพรรคพลังประชาชนได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล อดีตนายกฯ ที่ถูกโค่นอำนาจกลับมามีบทบาทอีกครั้ง โดยแสดงออกมาในทำนองเดียวกับ "ลี กวนยู" อดีตนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ หรือ "เหมา เจ๋อ ตุง" อดีตประธานของคณะโปลิตบูโรของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน


ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น "นพดล ปัทมะ" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ และรองเลขาธิการพรรคพลังประชาชน ยังออกมาระบุว่าคณะผู้บริหารของพรรคพลังประชาชน จะลงนามบันทึกความเข้าใจกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนว่าด้วยการแลกเปลี่ยนการอบรมบุคลากร คำถามที่เกิดขึ้นคือ ปลายทางสุดท้ายในการทำสงครามรอบใหม่คืออะไร?

ไม่มีความคิดเห็น:

when i was young

when i was young
like a boy

จัดให้เต็มๆ

จัดให้เต็มๆ
มองไรนักหนา ไม่เคยเห็นคนน่ารักไง คนไรก็ไม่รู้