ขอน้อมอาลัย สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์

เว็บนี้สามารถใช้งานได้ตามปกติแล้ว



ร่วมเติมเต็มทุกหัวใจของคนที่มีรักได้ที่นี่

แล้วคุณจะรู้ว่า
ปรารถนาจะเป็นผู้สั่งการ
หัวใจคือผู้เร่งเร้าให้รุ่มร้อน
เรือนกายคือผู้ปฏิบัติตามปรารถนา
ทุกสิ่งจะเป็นไปตามครรลองของมันเองทุกประการ

ที่นี่จะรวมบทวิจารณ์ รวมถึงข่าวสารสาระที่เป็นประโยชน์ต่างๆไว้
โดยเฉพาะที่มาจากความคิดเห็นของผู้แต่งเอง
ทั้งนี้ผู้แต่งจะไม่ขอรับผิดชอบใดๆ อันเกิดจากการนำข้อความดังกล่าวที่ปรากฏในบล็อกไปใช้อย่างไม่เหมาะสม
เข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็น ติชม กันเยอะๆนะคะ
ขอบพระคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ


ด้วยความปราถนาดี

R-ka



ผู้เยี่ยมชมสามารถเข้าชมได้อีกบล็อกนึง คือ

http://www.rka-state.vox.com/


Mariah Carey - Bye Bye

lay on my high-heels

lay on my high-heels
งานบายเนียรปี2008 ค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2551

ถึงคนๆนั้น


อาร์จะยังรักคุณตลอดไป...

จะไม่ลืม และไม่มีวันลืม


R-Ka

วันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ลาก่อนบล็อก





เนื่องจากเดือนหน้าต้องไปอบรมลูกเรือของสายการบินหนึ่งที่มาเลเซีย

จึงขออำลาทุกท่านมาใน ณ ที่นี้


ไม่รู้จะได้กลับมาอัพบล็อกอีกทีเมื่อไร


หากมีโอกาสจะกลับมาอัพบล็อกให้หายคิดถึงเลยค่ะ
ส่วนเรื่องแฟนไม่ต้องพูดถึงเค้าเลยนะคะ
เราเลิกกันแล้ว
จบ เป็นความทรงจำที่ดี
อาร์คงขยาดความรักไปอีกนาน
ถามว่ายังรักอยู่ไหม
ยังรัก
แต่ทำใจไม่ได้จริง
การไปทำงาน อาร์คงจะลืมความเจ็บปวดนี้ไปได้สักที
หวังว่านะคะ
และสำหรับคนที่อยากรู้ว่า อาร์เป็น ผญ หรือ สาวสองกันแน่
อย่างหลังแหล่ะค่ะ
คือ ดิฉันเอง


ขอบคุณสำหรับการติดตามตลอด1 ปี ที่ผ่านมานะคะ


R-Ka

วันจันทร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

วิพากษ์ จักรภพ เพ็ญแข



นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตผู้บริหารสถานีโทรทัศน์พีทีวี อดีตผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ และอดีตนักวิเคราะห์ข่าวต่างประเทศที่มีชื่อเสียง


นายจักรภพ เพ็ญแข เกิดปี พ.ศ. 2510 มีชื่อเล่นว่า “เอก” ศึกษาชั้นประถมศึกษา และมัธยมศึกษา ที่โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จากนั้น สอบเข้าศึกษาต่อ ที่คณะรัฐศาสตร์ สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อจบปริญญาตรีแล้ว จึงเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยจอนส์ฮอปกินส์ สหรัฐอเมริกา เริ่มทำงานครั้งแรกกับเครือเจริญโภคภัณฑ์อยู่ระยะหนึ่ง แล้วลาออกไปเข้ารับราชการเป็นเจ้าหน้าที่ทูต กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ต่อมาได้ลาออกมาทำงานสื่อมวลชนเต็มตัว โดยเป็นผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์หลายรายการ เป็นระยะเวลากว่าสิบปี


ได้รับการแต่งตั้งเป็นโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ต่อมาไม่นาน ก็ลงสมัครรับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในนามพรรคไทยรักไทย แต่ไม่ได้รับเลือกถึง 2 ครั้ง โดยครั้งแรก การเลือกตั้ง พ.ศ. 2548 นายจักรภพลงเลือกตั้งที่กรุงเทพฯ เขต 30 แทน นายจักรพันธุ์ ยมจินดา ว่าที่ผู้สมัครคนเดิมที่ถูก ศาลจังหวัดระยอง พิพากษาว่ามีความผิดใน คดีหมิ่นประมาท พ.ต.ท.พณาเจือเพ็ชร์ กฤษณะราช ทำให้นายจักรพันธุ์ ต้องเว้นวรรคทางการเมือง 10 ปี ผลการเลือกตั้ง นายจักรภพ แพ้ผู้สมัครจาก พรรคประชาธิปัตย์ คือ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ต่อมาครั้งที่สองใน การเลือกตั้ง 2 เมษายน 2549 นายจักรภพ เป็นผู้สมัครเพียงคนเดียวใน เขต 5 กรุงเทพมหานคร แต่ไม่ได้รับเลือกตั้ง เนื่องจากได้คะแนนเพียง 22,231 คะแนน คิดเป็น 17.27% ในขณะที่มีผู้ลงช่องไม่ลงคะแนน ถึง 55,141 คะแนน [1][2] อย่างไรก็ตามต่อมา นายจักรภพ ได้รับแต่งตั้งเป็น รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลทักษิณ 2
หลังจาก คดียุบพรรค นายจักรภพ พร้อมด้วยกลุ่มผู้บริหารสถานีโทรทัศน์พีทีวี และองค์กรต่อต้านเผด็จการ เป็นแกนนำจัดเวทีปราศรัยต่อต้านคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) และรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ขึ้นที่ท้องสนามหลวง ใช้ชื่อว่า “แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ” (นปก.) ต่อมา เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้นายจักรภพ เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่กำกับดูแลสื่อมวลชนภาครัฐ ในวันที่ 1 เมษายน ปีเดียวกัน นายจักรภพ เป็นประธานในการเปลี่ยนแปลง สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 เป็น สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (เอ็นบีที)


นายจักรภพถูกตั้งข้อสงสัยถึงทัศนคติเกี่ยวกับสังคมไทย สืบเนื่องจากการปาฐกถาเป็นภาษาอังกฤษในหัวข้อเรื่อง “ระบบอุปภัมภ์ ในฐานะที่เป็นอุปสรรคขัดขวางความเป็นประชาธิปไตย” เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (เอฟซีซีที) หลังจากที่เขาถูกจับกุมบริเวณหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ และการบรรยายเป็นภาษาไทยต่อเครือข่ายคนรักทักษิณที่นครลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน[3]
จากกรณีดังกล่าว พันตำรวจโท วัฒนศักดิ์ มุ่งกิจการดี พนักงานสืบสวน (สบ.2) สถานีตำรวจนครบาลบางมด ช่วยราชการสถานีตำรวจนครบาลพหลโยธิน แจ้งความต่อกองปราบปรามว่า เนื้อหาการปาฐกถาของนายจักรภพเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ[4]


นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ทำหนังสือถึงนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้พิจารณาเนื้อหาของคำกล่าวทั้งสองครั้ง โดยเห็นว่าเป็นทัศนคติที่เป็นอันตรายต่อระบบการปกครอง พร้อมกับเรียกร้องให้นายสมัครพิจารณาปลดนายจักรภพออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี


ทั้งนี้ มีการเผยแพร่วีซีดี และแปลรายละเอียดคำบรรยายเป็นภาษาไทยออกไปอย่างลับ ๆ และกว้างขวางในแวดวงข้าราชการพลเรือน ตำรวจ และทหาร โดยเชื่อว่ามีภรรยาของนายทหารคนหนึ่งเป็นผู้เผยแพร่[5] ระหว่างนั้น นายจักรภพได้ให้สัมภาษณ์ว่าคำแปลที่ออกมาคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ตนมิได้มีเจตนาเช่นนั้น รวมทั้งยืนยันในความจงรักภักดีและความบริสุทธิ์ใจของตนเอง ต่อมาในช่วงระหว่างวันที่ 21-23 พฤษภาคม นายจักรภพมิได้เข้ามาปฏิบัติภารกิจที่ทำเนียบรัฐบาล โดยมิได้แจ้งลาราชการ


แต่ทั้งนี้ ในวันที่ 22 พฤษภาคม นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อดีตแกนนำ นปก. แถลงข่าวที่ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ว่านายจักรภพจะเปิดแถลงข่าวในวันที่ 26 พฤษภาคม เวลา 14.00 น. เพื่อชี้แจงถึงคำปาฐกถาและคำบรรยายต่าง ๆ ที่เป็นปัญหาทั้งหมด พร้อมเปิดให้สื่อมวลชนสอบถามประเด็นที่สงสัยทุกเรื่องด้วย ต่อมา ค่ำวันที่ 23 พฤษภาคม นายจักรภพปรากฎตัวในงานฉลองวันเกิดครบรอบ 60 ปี ของนายวีระ มุสิกพงศ์ อดีตประธาน นปก. พร้อมให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว ยืนยันการแถลงข่าวในวันที่ 26 พฤษภาคม ที่ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาลแน่นอน พร้อมให้รอฟังการตัดสินใจถึงอนาคตทางการเมืองของตน


เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) พร้อมด้วยสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ได้ยื่นหนังสือต่อประธานวุฒิสภา เพื่อให้ส่งเรื่องต่อไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวหาว่านายจักรภพกระทำการส่อไปในทางจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อกฎหมายและบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ รวมถึงอาจเข้าข่ายมีการแทรกแซงสื่อ[6] รายละเอียดของข้อกล่าวหาดังกล่าว มีดังนี้
กรณีการกำกับดูแลสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ซึ่งเชื่อว่ามีความไม่โปร่งใสในขั้นตอนการดำเนินการของกรมประชาสัมพันธ์ ในการจัดหาและจัดจ้างบริษัทคู่สัญญา และการทำสัญญากับบริษัท ดิจิตอล มีเดีย โฮลดิ้ง จำกัด ที่เชื่อว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน
กรณีการเปิดโอกาสให้วิทยุชุมชนเข้าแสดงตัว ที่เชื่อว่ามีการยื่นข้อเสนอต่อผู้ประกอบการ ให้ยอมรับเงื่อนไขในการเป็นเครือข่ายของรัฐบาล ในการนำเสนอข่าวสารเพื่อแลกกับการละเว้นดำเนินคดี
กรณีการแต่งตั้งคณะกรรมการกิจการวิทยุกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ซึ่งเชื่อว่ามีการสกัดกั้นให้การแต่งตั้ง กสทช.เป็นไปอย่างล่าช้า เพื่อให้เอื้ออำนวยต่อการใช้อำนาจหน้าที่ เข้าแทรกแซงการทำงานสื่อมวลชนได้ต่อไป โดยระหว่างนี้ก็เชื่อว่ามีการเข้าแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของ คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ที่กำกับดูแลคลื่นความถี่วิทยุโทรทัศน์อยู่ในขณะนี้ด้วย
กรณีการให้นโยบายกับกรมประชาสัมพันธ์ โดยให้ออกระเบียบห้ามมิให้สื่อมวลชนของรัฐสนับสนุนการทำรัฐประหาร ไม่อนุญาตให้ผู้ปฏิบัติงานแสดงท่าทีสนับสนุนรัฐประหารผ่านสื่อมวลชนของรัฐ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ตลอดจนการนำสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยกลับมาดำเนินการเอง เช่นเดียวกับที่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) เคยดำเนินการกับสถานีวิทยุ อสมท โมเดิร์น เรดิโอมาแล้ว แต่ในครั้งนั้นกลับไม่มีผู้ใดคัดค้านแต่อย่างใด
กรณีการดำเนินการกับผู้ดำเนินรายการวิทยุ ที่เชื่อว่ามีการสั่งให้สถานีวิทยุวิสดอมเรดิโอ เอฟ.เอ็ม.105 เมกกะเฮิร์ทซ์ ปลดนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ออกจากการเป็นผู้ดำเนินรายการ ซึ่งนำเสนอบทความวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลและนายกรัฐมนตรี ทั้งที่ความจริงเป็นการลาออกด้วยตัวเอง เพื่อกล่าวหาว่ามีการกดดันให้ปลดออก


ผลงานหนังสือ
สงครามสุดท้าย? เมื่อมหาอำนาจจัดระเบียบโลก. กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, 2544. ISBN 978-974-7381-98-6
ในทีวีไม่มีเทวดา (นะครับ). กรุงเทพฯ : สีดา, 2545. ISBN 978-974-7727-43-2
100 ความเชื่อ 100 ความจริง. กรุงเทพฯ : สารคดี, 2546. ISBN 978-974-484-030-1
พันธมิตรหรือพันธมาร. กรุงเทพฯ : ผู้จัดการ, 2546. ISBN 978-974-91468-8-0
ขอบฟ้าที่ตาเห็น. กรุงเทพฯ : ดีเอ็มจี, 2547. ISBN 978-974-91545-4-0
ชำเราชาวอิรัก. กรุงเทพฯ : Openbooks, 2547. ISBN 978-974-92602-5-8
ทะเลทรายกับสายหมอก. กรุงเทพฯ : ดีเอ็มจี, 2547. ISBN 978-974-92486-4-5
โลก...สุขกับโศก มิได้สิ้นอย่าสงสัย. กรุงเทพฯ : ดีเอ็มจี, 2548. ISBN 978-974-92883-1-3
สยามตามหาเพื่อน. กรุงเทพฯ : ดีเอ็มจี, 2548. ISBN 978-974-93257-1-1
หยดเลือดในทะเลทราย. กรุงเทพฯ : ดอกหญ้ากรุ๊ป, 2549. ISBN 978-974-94525-6-1
โลกทั้งใบให้ไทยเมืองเดียว. กรุงเทพฯ : ตกผลึก, 2550. ISBN 978-974-09-2414-2
ประชาธิปไตยในกรงขัง. กรุงเทพฯ : เพื่อนพ้องน้องพี่, 2550.
กลอนผ่านกระจก"


ใบสั่งเก็บ... จักรภพ เพ็ญแข
คำประกาศลอยแพ "จักรภพ เพ็ญแข" รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ด้วยการยืมปากของ "พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ" อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายแต่อย่างใด


เพราะ "วาจากร้าว" ที่หลุดออกจากปาก "จักรภพ" ระหว่างกล่าวปาฐกถาที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศ (เอฟซีซีที) เมื่อ 29 สิงหาคม 2550 จนถูกฝ่ายค้านตราหน้าว่าเป็น "บุคคลที่มีทัศนคติอันตราย" เป็นเรื่องที่ต่อให้ "คนใหญ่" แค่ไหน ก็ไม่อาจเคลียร์ได้ นอกเสียจากปล่อยให้ "จักรภพ" รับผิดชอบปากตัวเอง..!

อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่าพฤติกรรมดึงฟ้าลงต่ำ-แอบอ้างสถาบัน เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในภาวะที่ 2 ขั้วการเมืองกำลังรบพุ่ง แต่ในกรณี "จักรภพ" สังคมต่างรู้ดีว่าเขาไม่ได้สู้เพื่อตัวเอง แต่เป็นการต่อสู้แทน "ใคร" บางคน "ใคร" คนนั้นจะเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกเสียจาก "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี

1 ปีผ่านไป... "องครักษ์พิทักษ์นาย" ได้รับค่าเหนื่อยเป็นเก้าอี้รัฐมนตรี และเขาน่าจะทำหน้าที่ "ตัวล่อ-ตัวชน" ต่อไปได้ หาก "มือที่มองไม่เห็น" ไม่งัด "วีรกรรมย่ามใจ" ในอดีตขึ้นมาล่อจนกระอัก


ผลจากการไล่เด็ดหัว "จักรภพ" เพียงคนเดียว ได้สร้างแรงสะเทือนต่อคนในพรรคพลังประชาชนเกือบยกแผง เนื่องจากหลักฐานชิ้นสำคัญว่าด้วย "วาทกรรมจักรภพ" ได้ฉายให้เห็นถึง "แนวรบ-แนวร่วม-ปลายทางในการต่อสู้" แบบหมดหน้าตัก และงานนี้ "วงในพรรคพลังประชาชน" ประเมินว่าเรื่องวุ่นๆ ที่เกิดจาก "รัฐมนตรีมุ้งสายบัว" ทำท่าจะสงบไม่ลง จึงไม่แปลก หากจะมีใบสั่ง "ตัดตอน" นักรบผู้นี้..?


แต่ครั้น "นายใหญ่" จะลงไปบัญชาการเขี่ย "จักรภพ" ให้พ้นทางด้วยการปรับออกจากคณะรัฐมนตรีก็ทำไม่ได้ เพราะจะทำให้บรรดาขุนพล แม่ทัพ นายกองที่ขยันออกมาท้าตีท้าต่อยกับ "อรินาย" ตกอยู่ในอาการฝ่อ ฐานลูกพี่ไม่ปกป้อง พอเสร็จนาก็ฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล


ทางออกที่ดีที่สุดจึงอยู่ที่การยืมมือ "บุคคลที่ 3" ลงดาบเชือดนิ่มๆ! "ดาบแรก" มี "ขุนพลคู่ใจ" ที่ชื่อ "เนวิน ชิดชอบ" หัวหน้าวังบุรีรัมย์ เป็นผู้รับมอบ ก่อนส่งซิกให้ "ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง" โฆษกพรรคพลังประชาชน กลุ่มเพื่อนเนวิน ออกมาแกว่งดาบโชว์ พร้อมแกว่งปากสะกิดต่อมรับผิดชอบต่อองค์กรของ "จักรภพ"


"ดาบสอง" ถูกส่งต่อให้ "พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ" อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ออกมาปูดข่าว "ขบวนการล้มปืน ล้มทุน ล้มเจ้า" ว่ากันว่างานนี้มีการจัดฉาก-เตรียมคิวล่วงหน้า โดย "พ.ต.ท.ทักษิณ" ได้เลื่อนเวลาตบเท้าเข้าอวยพรวันคล้ายวันเกิดปีที่ 76 ของ "บิ๊กจิ๋ว" เมื่อ 15 พฤษภาคม จากเดิมตั้งใจจะย่องไปอวยพรเงียบๆ ในเวลา 07.00 น. เป็น 09.00 น. เพื่อให้มีประจักษ์พยานร่วมรู้เห็นการกลับไปเป็น "โซ่เส้นเดียวกัน" ของ "พี่จิ๋ว-น้องแม้ว"


สุดท้ายก็เป็น "บิ๊กจิ๋ว" นั่นเองที่ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า "พ.ต.ท.ทักษิณ ห่วงใยมากในสิ่งที่คุณจักรภพพูด คุณจักรภพต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ คงต้องพิจารณาว่าจะทำอย่างไร"


"ดาบสาม" กลับคืนไปอยู่ในมือของ "หัวหน้าวังบุรีรัมย์" ซึ่งพรั่งพร้อมด้วยสรรพกำลัง มี ส.ส.ในสังกัดกว่า 90 ชีวิต และยังมากด้วยข้อมูล "อินไซด์" ของบุคคลที่ตกอยู่ในสภาพ "เชลยทหาร" เนื่องจากเคยร่วมต่อสู้ในฐานะ "นักรบเสื้อแดง" มาด้วยกัน


หาก "เพชฌฆาต" ได้รับสัญญาณให้ลงดาบเมื่อไร ปฏิบัติการฆ่าตัดตอน "จักรภพ" ย่อมสำเร็จเมื่อนั้น ว่ากันว่าในระยะหลังมานี้ "นายใหญ่และแกนนำวังจันทร์ส่องหล้า" ยอมปล่อยให้ "หัวหน้าวังบุรีรัมย์" แสดง "อำนาจเหนือ" กว่าในการตัดสินใจครั้งสำคัญหลายเรื่อง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะต้องการโลว์โพรไฟล์ตัวเอง เพื่อลดแรงปะทะจากทั้งภายในและภายนอก ขณะที่อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะต้องการรอรับผลตอบแทน โดยไม่ต้องออกแรง


ดังนั้นการเสีย "นักรบฝีปากกล้า" ไปหนึ่งคนจึงไม่มีผลอะไรต่อ "แนวรบ-แนวร่วม-เป้าหมายในการต่อสู้" ของพ.ต.ท.ทักษิณ เพียงแต่ต้องจัด "ขุนพล" และ "ปรับยุทธวิธี" ให้แนบเนียนมากขึ้นเท่านั้น


หากยังจำกันได้ในช่วงปลายรัฐบาล "ทักษิณ 2" ปี 2549 มีข้อเสนอจากแกนนำพรรคไทยรักไทยให้พ.ต.ท.ทักษิณ "เว้นวรรค" และหันไปเล่นบทบาทผู้ใหญ่ทางการเมือง คอยให้คำปรึกษาแก่นักการเมืองรุ่นหลัง แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 บทบาท "ผู้นำนอกทำเนียบฯ" ก็หายไป กระทั่งพรรคพลังประชาชนได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล อดีตนายกฯ ที่ถูกโค่นอำนาจกลับมามีบทบาทอีกครั้ง โดยแสดงออกมาในทำนองเดียวกับ "ลี กวนยู" อดีตนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ หรือ "เหมา เจ๋อ ตุง" อดีตประธานของคณะโปลิตบูโรของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน


ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น "นพดล ปัทมะ" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ และรองเลขาธิการพรรคพลังประชาชน ยังออกมาระบุว่าคณะผู้บริหารของพรรคพลังประชาชน จะลงนามบันทึกความเข้าใจกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนว่าด้วยการแลกเปลี่ยนการอบรมบุคลากร คำถามที่เกิดขึ้นคือ ปลายทางสุดท้ายในการทำสงครามรอบใหม่คืออะไร?

RKA on the road1
















ไปเที่ยววัดมาค่ะ
ยังมีรูปอีกเยอะเลย
เดี๋ยวจะคัดๆวิวสวยๆมาให้ชมกันนะคะ
รู้ค่ะว่าอยากชมวิวมากกว่าชมเจ้าของเว็บ
ฮือๆๆๆ
R-Ka


วิพากษ์เกมโชว์ค่ายเวิร์คพอยท์

วิพากษ์เกมโชว์ค่ายเวิร์คพอยท์

เวิร์คพอยท์ฯก่อตั้งเมื่อปี2531 โดยสองหนุ่มสถาปัตย์จุฬาฯสองท่าน ซึ่งล้วนแต่ผ่านงานในสายบันเทิงจากเจเอสแอลกันมาแล้วโดยให้กำเนิดรายการดังซึ่งยังคงอยู่ยงคงกะพันจนถึงตอนนี้อย่างเวทีทองและชิงร้อยชิงล้าน เวทีทอง เกมโชว์ที่ตอบปัญหาที่เล่นกับคำในภาษาไทยซะส่วนใหญ่ชิงร้อยชิงล้าน เกมโชว์ที่เน้นให้ทายว่าผู้แข่งขันคนนี้ในกลุ่มมีความสามารถแปลกๆหยั่งๆแบบนั้นหรือไม่ นอกจากนี้ก็มีเปิดป้ายลุ้นเงินล้าน อีกทั้งมีตลกเงินล้านมาคอยช่วยสร้างสีสันเฮฮา ให้ความเป็นวาไรตี้ให้กับรายการนอกจากนี้ก็มีรายการที่ผลิตในช่อง5 ซึ่งผลิตมาและก็ปิดฉากไปอย่างเช่น คู่ทรหด ชมรมขนหัวลุก เป็นต้น

โดยรายการที่สร้างเรตติ้งและมีอายุยืนที่สุดคือระเบิดเถิดเทิง รายการตลกซิทคอมเกี่ยวกับชีวิตของผู้คนในซอยเถิดเทิง โดยมีแขกรับเชิญเข้ามาร่วมแสดงในรายการด้วยและร่วมลุ้นสนุกกับการถอดสลักระเบิดแป้งในตู้ระเบิดด้วยแต่ก็น่าเสียดายที่วิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี2540 ส่งผลให้ทางเวิร์คพอยท์ต้องถอนยวงรายการออกจากช่อง7ไปเนื่องจากไม่สามารถรับนโยบายที่ทางสถานีต้องการให้ลดต้นทุนการผลิตรายการลง แทนที่จะให้ทางสถานีลดค่าเช่าเวลา ทำให้ช่อง7และเวิร์คพอยท์ไม่ได้ร่วมสังฆกรรมอีกเลยนับแต่นั้นมา

แม้จะมีช่วงหนึ่งที่เวิร์คพอยท์กลับทำรายการคนอึดบันทึกโลกหรือใครผิดยกมือขึ้นให้กับสถานีอีกครั้ง แต่รายการพวกนั้นกลับไม่สามารถสร้างเรตติ้งให้ทางสถานีพอใจได้ ทำให้เวิร์คพอยท์ต้องปิดฉากตัวเองในช่อง7อีกครั้งแต่เวิร์คพอยท์ในช่วงหลังวิกฤตเศรษฐกิจกลับสร้างรายการเกมโชว์เรียกเรตติ้งสูงๆได้หลายรายการในช่อง5เช่นเกมจารชน เกมโชว์ที่สร้างประวัติศาสตร์รางวัลเกมโชว์ยอดเยี่ยมแห่งเอเซียจากAsian Television Awardถึงสองสมัยซ้อน โดยมีช่วงรายการอย่างถอดรหัสระเบิด ,ทายปัญหาจากCodeลับ1พยางค์ที่ผู้เข้าแข่งขันที่รับบทตัวประกันพูดออกมา ,ทายปัญหาจริงหรือไม่ในช่วงเหมืองนรก และสุดท้ายเปิดป้ายลุ้นแจ็คพอตเลี้ยงเอเลี่ยนให้โตขึ้น

เกมแก้จน เปิดตัวเมื่อปี2541ยุคเทเลไฟว์ครองสัมปทาน เกมโชว์ที่ให้ทายตัวจริงของเจ้าของธุรกิจดังๆว่าเป็นใครจากแขกรับเชิญที่ให้มา พร้อมกับเผยเบื้องลึกกว่าจะเป็นธุรกิจใหญ่ในปัจจุบัน และก็มีให้ทายว่าคนผู้นี้ทำอาชีพอะไรจากข้อมูลในแผ่นป้ายซึ่งรายการนี้ถือเป็นการสร้างฐานข้อมูลสำคัญอันนำไปสู่การเปิดตัวเวิร์คพอยท์สำนักพิมพ์ และเปิดตัวนิตยสารแก้จน และพ็อกเก็ตบุ๊คส์เกี่ยวกับการบริหารจัดการธุรกิจหลายเล่มในปัจจุบันนี้

แฟนพันธ์แท้ เปิดตัวเมื่อปี2543 สุดยอดเกมโชว์ที่คว้ารางวัลเกมโชว์ยอดเยี่ยมมามากมายหลายสำนักมากกว่าสิบรางวัลขึ้นไป โดยรายการนี้แรกๆจัดขึ้นเพื่อแสดงความเป็นแฟนคลับดาราคนดังๆโดยการตอบปัญหายากๆเกี่ยวกับตัวดาราคนดังนั้นๆแต่ต่อมารายการนี้เริ่มขยายหัวข้อการแข่งขันกว้างขวาง และสร้างสรรค์ทางภูมิปัญญามากขึ้นเช่น มือถือ ,ประวัติศาสตร์กรุงศรีฯ ,มวยปล้ำ ,พระเครื่อง ,การ์ตูนญี่ปุ่น ,ภาษาไทย ,น้ำหอม ,เครื่องบินรบ ,ตลกคาเฟ่ ,แมลง ,นาฬิกา ,แสตมป์ ,เว็ปไซท์ไทย ฯลฯ ทำให้รายการนี้ได้รับความนิยมจากหมู่เหล่าคนที่มีความเชี่ยวชาญชำนาญและคลั่งไคล้ในห้วข้อต่างๆมากมาย ทำให้ผู้ชมทึ่งกับความสามารถของผู้เข้าแข่งขันพร้อมๆกับได้รับสาระไปด้วย

นอกจากนี้ยังผลิตรายการให้กับโมเดิร์นไนน์อย่างเกมทศกัณฐ์ เกมโชว์สร้างกระแสเรตติ้งด้วยเงินรางวัลถึง10ล้านบาท ถ้าสามารถตอบหน้าคนดังปริศนาได้ครบ10หน้าโดยมีการแข่งขันกันตอบกับฝ่ายตรงข้ามเพื่อเป็นแชมป์เล่นในรายการต่อไปเรื่อยๆทั้งยังออกอากาศแบบต่อเนื่องทุกวันธรรมดา ทำให้รายการนี้ดังเร็วมากจนต้องเปิดรายการเกมทศกัณฐ์เด็กเพื่อให้เด็กๆได้มีโอกาสแสดงความสามารถของตัวเองบ้าง

คุณพระช่วย วาไรตี้โชว์แสดงศิลปวัฒนธรรมของชนชาติไทยแขนงต่างๆที่ควรแก่การอนุรักษ์ให้ชนรุ่นหลัง

ชัยบดินทร์โชว์ วาไรตี้โชว์เปิดโอกาสให้ตลกเงินล้านได้แสดงความสามารถในการดำเนินรายการของตัวเอง นอกจากนี้ยังมีรายการชิงช้าสวรรค์ซึ่งไม่พ้นแนวเดียวกันนี่เปิดตัวออกมาด้วย


Websiteของบริษัทเวิร์คพอยท์เอนเตอร์เทนเมนต์จำกัด(มหาชน) http://www.workpoint.co.th
วิพากษ์ข้อดีข้อเสียของรายการของค่ายเวิร์คพอยท์ข้อดีที่ผมเห็นได้ชัดเจนก็คือรายการของค่ายนี้ไม่ว่าจะไปอยู่ช่องไหนล้วนแต่สร้างเรตติ้งได้ดีเยี่ยมไม่แพ้รายการที่อยู่สถานีใหญ่ๆอย่างช่อง3และช่อง7 ทีวีช่องไหนก็ล้วนแต่ต้องการตัวไปผลิตรายการให้ทั้งนั้น แม้แต่ช่อง3ซึ่งเขี่ยเวิร์คพอยท์ทิ้งไปหลังจากปันใจไปร่วมผลิตรายการยุคเทเลไฟว์ กลับมาทำรายการกล่องดำให้อีกครั้งหนึ่ง เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นผู้จัดรายการทีวีที่มีอำนาจและบารมีสูงกว่าตัวสถานีบางช่องซะอีก(ในส่วนลึกผมคิดว่าตรงนี้เป็นอีกเหตุหนึ่งที่ทำให้7สีไม่ค่อยอยากเอาเวิร์คพอยท์มาผลิตรายการให้ต่อไปมั๊ง เพราะทางสถานีนั้นต้องการให้อำนาจและบารมีของเรตติ้งอยู่ที่ตัวสถานีมากกว่าตัวของผู้จัดรายการซะเองเพื่อไม่ให้มีอำนาจมาต่อรองอะไรกับทางสถานีได้)

ทั้งช่อง5และช่อง9ถ้าขาดเวิร์คพอยท์ไปก็คงไร้สีสันขาดเรตติ้งไปเยอะทีเดียวคุณภาพรายการถือว่าเยี่ยมสุดๆ ไม่จำเป็นต้องอาศัยผู้เข้าแข่งขันเป็นดาราคนดังมาแข่ง เอาแค่ผู้ชมทางบ้านที่มีความรู้ความสามารถมาแข่งก็สามารถทำให้รายการมีเรตติ้งอยู่ได้ อีกทั้งยังเป็นการแจ้งเกิดผู้เข้าแข่งขันในอีกทางหนึ่งด้วยโดยเฉพาะผู้เข้าแข่งขันในรายการแฟนพันธ์แท้


ข้อเสียถ้าเราดูรายการเวิร์คพอยท์ไปนานๆเข้า ก็คงจะรู้สึกถึงการเอาเปรียบตรงนี้ได้นั้นก็คือความยืดเยื้อของรายการนั้นเองครับเนื่องจากรายการทีวีนั้นต้องการที่จะขายโฆษณาให้ได้มากที่สุดโดยให้มีการแจกเงินรางวัลในช่วงรายการน้อยที่สุด ซึ่งการยืดรายการก็เท่ากับเป็นยืดเวลาที่เจ้าของรายการจะต้องจ่ายเงินรางวัลให้กับผู้เข้าแข่งขันด้วยเช่นกันรวมถึงรางวัลที่จะแจกให้ผู้แข่งขันท่านอื่นๆในเทปต่อๆไป ตัวอย่างที่เห็นกันได้ชัดเจนที่สุดก็คือเกมทศกัณฐ์นั้นเองครับและนอกจากนี้การผลิตรายการในเทปใหม่ๆมัึกจะใช้เวลาในการเตรียมงานมากเอาเรื่องเหมือนกัน โดยเฉพาะรายการแฟนพันธ์แท้ซึ่งต้องใช้เวลาในการหาข้อมูลและคัดเลือกตัวผู้เข้าแข่งขันที่มีความสามารถและเหมาะสมในการเข้าไปแข่งขันในรายการ


มาถึงตรงนี้ผมต้องขอพูดถึงรายการแฟนพันธ์แท้เป็นพิเศษถึงข้อเสียที่ผมต้องขอกล่าวถึงสักหน่อยนั้นก็คือการแข่งขันแฟนพันธ์แท้แห่งปี(Fan of the Year)นั้นละครับเนื่องจากการแข่งขันในช่วงตรงนี้นั้นคือการเอาความสามารถในด้านและสาขาที่ต่างๆกันเอามาแข่งกัน ซึ่งในความเป็นจริงถือเป็นการไม่ยุติธรรมเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะแฟนพันธ์แท้หัวข้อที่มีความกว้างขวางและลึกซึ้งที่ไม่เหมือนกัน คนละมาตรฐานความรู้สึกกัน แน่นอนครับว่าผมไม่เห็นด้วยกับตรงนี้และหันไปดูรายการแนวอาหารสมองวิจารณ์สาระหนักๆอย่างเมืองไทยรายสัปดาห์ของคุณสนธิแทนและความยืดเยื้อนั้นก็เห็นกันได้ชัดเจนมากขึ้น แสดงให้เห็นถึงการเอาเปรียบผู้ชมอย่างเห็นได้ชัดคำถามแฟนพันธ์แท้บางข้อนั้นต้องยอมรับว่าแม้จะทำเอาผู้ชมร้องอู้หูกับความยากและซับซ้อน ถ้าตอบได้ก็ทำเอาฮือฮา แต่ในขณะเดียวกันมันกลับกลายเป็นคำถามที่ไร้สาระไม่ประเทืองปัญญาไม่ชวนให้ผู้ชมบางส่วนอยากรู้ด้วยซ้ำไป เป็นจุดอ่อนอีกจุดหนึ่งเช่นกันมาถึงตรงนี้ผมว่าการแข่งขันแฟนพันธ์แท้แห่งปีเห็นควรจะเลิกไปได้แล้วครับ เหลือเพียงแค่แข่งกันตามหัวข้อแค่นั้นก็พอแล้วครับอย่าเอามาแข่งเทียบข้ามรุ่นกันเลย

ตีแผ่ละครพื้นบ้านไทย

ตีแผ่ละครพื้นบ้านไทย

ตีแผ่ละครพื้นบ้านไทยกระทู้นี้ไม่มีสปอนเซอร์ อยากได้ไปซื้อเอาเองตาม เซเว่น อีเลฟเว่น หรือตามร้านโชว์ห่วย ขวดละ 12 บาทมั้ง กะป๋อง 8 บาทก็มี กระทู้นี้เป็นการติเพื่อก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น และที่สำคัญที่สุด กระทู้นี้เกิดขึ้นเพราะผมเบื่อหนังจักรๆวงศ์ๆที่ยังไม่พัฒนาและไม่มีความเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อนเลย ถึงแม้จะบอกว่าเป็นการอนุรักษ์ก็เถอะ


หนังจักรๆวงศ์ๆนี้เกิดขึ้นมาตอนไหน ไม่มีประวัติที่ระบุแน่ชัด ทราบเพียงว่าตอนนี้มี Free TV อยู่ 2 ช่องที่สร้างหนังประเภทนี้มาแข่งกัน นั่นคือ ช่อง 7 กะ ช่อง 3 คู่แข่งทั้งด้านละครน้ำเน่าและหนังจักรๆวงศ์ๆ ขอแนะนำให้ไปอ่าน”โครงการตีแผ่ครั้งที่ 2 “ละครน้ำเน่าไทย” แข่งสร้างละครน้ำเน่าไม่พอยังมาแข่งสร้างหนังประเภทนี้อีก โดยช่อง 7 จะมีฉายทุกวัน โดยวันจันทร์ถึงศุกร์ช่วงประมาณ 5 โมงเย็นจะเป็นหนังเรื่องเก่าที่เคยฉายไปแล้ว และวันเสาร์อาทิตย์เวลา 8 โมงครึ่งจะเป็นหนังที่เพิ่งสร้าง

ส่วนช่อง 3 จะมีละครประเภทนี้ตอนประมาณ 4 โมงเย็นกว่าๆ วันจันทร์ถึงศุกร์ ถ้ามีเวลาดูทีวีควรหลีกเลี่ยง ช่อง เวลา และวันที่กล่าวไว้ เป็นอย่างยิ่ง หนังจักรๆวงศ์ๆคือ ? มีผู้รู้คนหนึ่ง(ใครก็ไม่รู้เหมือนกัน)กล่าวว่า”หนังจักรๆวงศ์ๆ คือการนำนิยายพื้นบ้าน นิทานปรัมปรา มาทำเป็นละคร แล้วเอามาฉายทาง TV ให้เด็กที่แหกขี้ตาตื่นแต่เช้ามาดูการ์ตูนดูเป็นของแถมเผื่อเลือก ไม่ก็ฉายให้พวกพ่อบ้านแม่บ้านที่ตื่นแต่เช้ามารับเวรรับกรรม รับใช้ลูกๆบังเกิดเกล้าที่แหกขี้ตาตื่นแต่เช้ามาดูการ์ตูนดูแก้เครียด”(แต่ผมว่าดูแล้วจะเครียดหรืออารมณ์เสียมากกว่านา)

ตัวละครที่ต้องมีในหนังจักรๆวงศ์ๆ แน่นอนอยู่แล้ว คำว่า จักรๆวงศ์ๆย่อมแปลว่าต้องมีตัวละครประเภทกษัตริย์ หรือตัวละครที่มีเชื้อเจ้าขุนมูลนาย ไปดูได้ทุกเรื่องต้องมีกษัตริย์ทั้งนั้น อยู่ที่ว่าจะเป็นพ่อแม่ของพระเอกหรือนางเอกเท่านั้นพระเอก หน้าตา(คิดว่า)ไทยๆ ไม่เอาลูกครึ่ง ผิดกับละครน้ำเน่า ไม่จำเป็นต้องหล่อมากเอาแค่พอดูได้ จะเก่งด้านรบหรือ POTTER อันนี้ก็แล้วแต่บท อาจจะเป็นลูกกษัตริย์หรือไม่ก็ได้ ถ้าเป็นลูกกษัตริย์จะเป็นพวกบาปหนา ชอบล่าสัตว์ และเข้าป่า(พลัง H หรือเปล่าไม่รู้) ถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดาๆ ไม่ต้องกลัว มันจะต้องมีเรื่องให้ไปข้องแวะกับในวังแล้วจะได้เจอนางเอกซึ่งเป็นเจ้าหญิงในภายหลัง

นางเอก หน้าตา(คิดว่า)ต้องเป็นแบบไทยๆ สวยขนาดไหนแล้วแต่จะหาได้ นางเอกส่วนมากเป็นเจ้าหญิงซึ่งไม่จำเป็นต้องเรียนหนังสือหรือทำงานทำการ และส่วนมากจะเป็นพวกขึ้นคานหาสามีไม่ได้ ต้องให้บิดาช่วยป่าวประกาศหาคู่ให้ ถ้าบทนางเอกเป็นหญิงชาวบ้าน ไม่ต้องกลัวไป เดี๋ยวก็เจอเจ้าชายเองล่ะ ไม่มีทางได้กับชาวบ้านด้วยกันหรอก นายพราน ผู้ชายหลังค่อมๆ หน้าโจรๆ ใส่เสื้อสีแดงเก่าๆ เขรอะๆ หนวดเครารกรุงรัง ผมยาวรุ่มร่าม มีย่าม 1 ใบ กะ หน้าไม้อีก 1 อัน เก่งเรื่องป่าแต่พาคนไปเที่ยวป่าแล้วหลง เป็นตัวตั้งตัวตีในการชวนเจ้าชาย (Prite ? )ไปเที่ยวป่า เพื่อหาของป่าไม่ก็ไปดูของแปลก

สัตว์ยักษ์และสัตว์ในจินตนาการ ประเภทครุฑ นกยักษ์ กินรี ตัวอะไรสักอย่างที่คล้ายๆนกที่เป็นรูปปั้นอยู่บนยอดเสาแถวถนนราชดำเนิน แถวสนามหลวง ซึ่งอันนี้เข้าใจว่าเป็นสัตว์ในเทพนิยายของไทย แต่บางเรื่องมันมีนี่ด้วย เพกาซัส กะ มังกร(แบบตะวันตก) ย้ำ!! เพกาซัส กะ มังกร 2 ตัวนี้มันเป็นสัตว์ในเทพนิยายของไทยตรงไหนฟะ เนื่องจากไม่เคยมีใครได้ยินเสียงของสัตว์พวกนี้เพราะเป็นสัตว์ในเทพนิยาย เวลาที่มีบทสัตว์เหล่านี้พูด เสียงที่ได้ยินจึงมักจะเป็นเสียงที่หาได้ยากในสากลโลก ฟังแล้วทุเรศและระคายหูมากกว่าเสนาะหูหรือน่าเกรงขาม

สิ่งของวิเศษ แยกได้หลายประเภทเช่น ลูกแก้ววิเศษ,ดาบ,มีดวิเศษ ที่มีประสิทธิภาพและความสามารถเว่อร์แสนเว่อร์ ประมาณมีในครอบครองแล้วสามารถครองโลกได้ ไม้เท้าพูดได้,หมาดำพูดได้,ปลาพูดได้ยืนด้วยหางได้ พวกนี้ส่วนมากจะมีขึ้นมาให้เป็นผู้ช่วยของเหล่าพระเอก จะช่วยมากช่วยน้อยหรือไม่ช่วยเลยก็แล้วแต่ และที่สำคัญ เสียงของพวกนี้ จะฟังแล้วทุเรศหูและน่ารำคาญ

โหรหรือปุโรหิต ชายแก่ หนัง(คำหยาบใช้ก่อนคำว่าเฉา)ย่น มีกระดานชนวนอยู่ 1 กระดานกะดินสอพอง 1 แท่ง วันๆเอาแต่ทำนายแล้วกราบทูลๆ แม้ว่าวันนั้นไม่มีเรื่องอะไรให้ทำนายก็ยังกราบทูลอยู่ โหรหรือปุโรหิตส่วนมากเป็นพวกโลภมากเห็นแก่เงิน ชอบรับสินบนบ่อยๆ อันเป็นเหตุให้การรับสินบนแพร่หลายดังเช่นในปัจจุบัน เอกลักษณ์ที่สำคัญของโหรหรือปุโรหิตคือ เสียง เสียงของโหรหรือปุโรหิตจะแหลมเล็กและที่สำคัญจะพูดเหมือนมีเสลดติดคอ ตัวอย่าง (โหรจะกราบทูลว่าจะมียักษ์บุกเข้ามาในเมือง) “อื๋อฮึ เอ่อ เกล้ากระหม่อม อื๋อฮึ ทำนาย อื๋อ แล้วได้ความ อื๋อ ขาก….(เสลดติดคอ ขากเสลดซะทีนึง) อื๋อออ.. ว่า. เอ่อ….อื๋อฮึ จะมียักษ์ อื๋อฮึ บุกเข้ามาในเมือง อื๋อฮึ พระเจ้าข้า” (ทันทีที่พูดจบ เท้าข้างหนึ่งของยักษ์ก็เหยียบลงมาทับทั้งโหรทั้งกษัตริย์ตายคาที่ 555555555 )

ยักษ์ เทวดา ฤาษี รุกขเทวดา สี่อย่างนี้อยู่คู่กับเรื่องประเภทนี้มานาน เราจะมาแยกเป็นอย่างๆดังนี้ - ยักษ์ ถ้าเป็นผู้ชายต้องหน้าเหมือนโจร ตัวต้องดำ เขี้ยวต้องยาวใหญ่และยื่นออกมาเหมือนหมูป่า และมีลายเขียนอยู่รอบๆปากให้ชาวบ้านรู้ว่าเป็นยักษ์ ถ้าเป็นผู้หญิงอันนี้แล้วแต่จะสวยไม่สวย ขาวไม่ขาวแล้วแต่บทที่ได้ - เทวดา ผู้ชายหน้าธรรมดาๆ ไม่ต้องหล่อ ตัวเขียวๆได้ยิ่งดี จะได้รับบทเป็นพระอินทร์ไปเลย และทีสำคัญก็คือ เทวดาต้องมีหนวดเพื่อความน่าเกรงขาม และหนวดที่ว่าต้องเป็นแบบม้วนๆด้วย ถ้าใครไม่มีหนวด ก็ใช้ดินสอ 2B นั่นแหละเขียนเอา ดำดีประหยัดดีด้วยไม่ต้องไปซื้อหนวดปลอม

- ฤาษี ชายแก่(บางทีก็ไม่แก่แค่กลางคน) ใส่ชุดหนังเสือ (ฤาษีเป็นพวกนักบวชไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไม่นิยมความฟุ่มเฟือยไม่ใช่เหรอ แล้วมาใส่ชุดหนังเสือเนี่ยนะ) หนวดเครายาวมากองที่หน้าตัก ฤาษีจะมีไม้เท้า 1 อัน เอาไว้ทำอะไรก็ไม่รู้ เกะกะเปล่าๆ ของกินประจำอาศรมของฤาษีคือ กล้วย องุ่น (สงสัยจะเป็นองุ่นป่า) แอปเปิลเขียว ( เฮ้!! สมัยก่อนนู้นเมืองไทยมีแอปเปิลด้วยเรอะ) - รุกขเทวดาหรือนางไม้ ถ้าเป็นรุกขเทวดา จะเป็นชายวัยกลางคนใส่ชุดแบบคนที่เป็นคนหว่านเมล็ดข้าวในวันพืชมงคลนั่นแหละ มีหน้าที่แค่ช่วยบอกทางไม่ก็ให้ที่หลบภัยเท่านั้น

กรณีนางไม้ จะเป็นผู้หญิง หน้าตา(น่าจะ)สวย นุ่งผ้าสไบเฉียง ดูๆไปนึกว่าแม่นาก หน้าที่หรือบทก็เหมือนรุกขเทวดานั่นแหละ ต้องทำใจว่าเราเป็นแค่ตัวประกอบไม่มีบทบาทมากหรอก แต่ว่าไปพวกเทพยดานางไม้ที่นุ่งสไบเฉียงส่วนมาก โนบราแล้วสไบมันก็บางๆไม่ใช่เหรอ ไม่เชื่อไปเปิดปฏิทินสงกรานต์ของธนาคารออมสินดูสิ ภูตผี อันนี้ก็อยู่คู่หนังประเภทนี้มานานแสนนาน ภูติผีที่โผล่ออกมาเป็นประจำเห็นจะหนีไม่พ้น ผีโครงกระดูกหรือ Skelton ( อันนี้ผมไม่แน่ใจว่าเมืองไทยมีผีแบบนี้ด้วยเหรอ ถ้าจำไม่ผิด Skelton มันของฝรั่งไม่ใช่เหรอ ) และเหมือนกับหัวข้อ ***ยักษ์และสัตว์ในจินตนาการ ตรงเสียง คือ ฟังแล้วทุเรศหูมากกว่าน่ากลัว สเปเชียลเอฟเฟ็ค แยกได้หลายประเภทดังนี้ ระเบิดสนั่นตูมตาม SFX อันนี้จะมีอยู่ตามฉากสู้รบ ประเภทพระเอกคนเดียว ศัตรูเป็นสิบ แล้วพระเอกก็ใช้พลังของอาวุธพิเศษในมือ ยิงอะไรสักอย่างไปโจมตีใส่ศัตรูระเบิดตูมตาม อันนี้จะสังเกตได้อย่างว่า*ระเบิดจะระเบิดตรงข้างๆกับข้างหลังตัวนักแสดงที่รับบทเป็นศัตรูเท่านั้น (มันน่าจะมีระเบิดใส่หน้ามั่ง จะได้สมจริงหน่อย)

และศัตรูที่รับบทนี้จะสามารถ ราวน์ดดร็อป ม้วนหน้า ลังกาหน้า ลังกาหลัง ไปตามแรงระเบิดได้อย่างสวยงาม เหาะเหินเดินอากาศ เดินเหยียบน้ำ เคยเป็นยังไงมันก็ยังอย่างงั้น ไร้ซึ่งการพัฒนา เคยเห็นเป็นเส้นๆ(ตัดต่อ)ยังไง เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นยังงั้น บลูสกรีนไม่มีใช้เหรอ ยังไงๆก็น่าจะทำให้มันแนบเนียนหน่อยสิ เด็กๆมาดูยังรู้เลยว่ามันตัดต่อ ไม่ใช่บลูสกรีน

และนั่นคือทั้งหมดที่ผมหามาตีแผ่(กัด)ได้ ดังที่กล่าวข้างต้น กระทู้นี้ตั้งขึ้นเพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี ไม่ใช่เลวลง และเพื่อเป็นการอนุรักษ์นิทานพื้นบ้านของไทยให้คงอยู่ต่อไป ถึงแม้จะดูเหมือนผมมานั่งบ่นให้ฟังก็เถอะ ยังไงๆถ้ากระทู้นี้มีคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องแนวนี้รับไปอ่านแลัวพิจารณาก็คงจะดี หนังแบบนี้จะได้มีการพัฒนาซะที “ขอบคุณที่เสียเวลามานั่งอ่านกระทู้ที่ไม่ค่อยมีสาระนี้”

วันอาทิตย์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

สาวน้อยลั้ลลาที่อียิปต์






















ไม่มีเวลาลงภาพ กล้องหายที่นั่น นี่เอามาจากพี่ช่างภาพบางส่วนนะคะ และจากเว็บด้วย
ดูภาพไปพลางๆก่อนนะคะ เดี๋ยวจะมาเสริมบทบรรยายแต่ละภาพอีกทีค่ะ


R-Ka


ปล ยัยคนที่ถือกล้องถ่ายวิดีโอ บนอูฐน่ะ ดิชั้นเองนะคะ แงๆๆ มีตัวเองภาพเดียวเองมั้งเนี๊ยะ เซร็งงงงงงงงง




when i was young

when i was young
like a boy

จัดให้เต็มๆ

จัดให้เต็มๆ
มองไรนักหนา ไม่เคยเห็นคนน่ารักไง คนไรก็ไม่รู้