ขอน้อมอาลัย สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์

เว็บนี้สามารถใช้งานได้ตามปกติแล้ว



ร่วมเติมเต็มทุกหัวใจของคนที่มีรักได้ที่นี่

แล้วคุณจะรู้ว่า
ปรารถนาจะเป็นผู้สั่งการ
หัวใจคือผู้เร่งเร้าให้รุ่มร้อน
เรือนกายคือผู้ปฏิบัติตามปรารถนา
ทุกสิ่งจะเป็นไปตามครรลองของมันเองทุกประการ

ที่นี่จะรวมบทวิจารณ์ รวมถึงข่าวสารสาระที่เป็นประโยชน์ต่างๆไว้
โดยเฉพาะที่มาจากความคิดเห็นของผู้แต่งเอง
ทั้งนี้ผู้แต่งจะไม่ขอรับผิดชอบใดๆ อันเกิดจากการนำข้อความดังกล่าวที่ปรากฏในบล็อกไปใช้อย่างไม่เหมาะสม
เข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็น ติชม กันเยอะๆนะคะ
ขอบพระคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ


ด้วยความปราถนาดี

R-ka



ผู้เยี่ยมชมสามารถเข้าชมได้อีกบล็อกนึง คือ

http://www.rka-state.vox.com/


Mariah Carey - Bye Bye

lay on my high-heels

lay on my high-heels
งานบายเนียรปี2008 ค่ะ

วันจันทร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

วิพากษ์ จักรภพ เพ็ญแข



นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตผู้บริหารสถานีโทรทัศน์พีทีวี อดีตผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ และอดีตนักวิเคราะห์ข่าวต่างประเทศที่มีชื่อเสียง


นายจักรภพ เพ็ญแข เกิดปี พ.ศ. 2510 มีชื่อเล่นว่า “เอก” ศึกษาชั้นประถมศึกษา และมัธยมศึกษา ที่โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จากนั้น สอบเข้าศึกษาต่อ ที่คณะรัฐศาสตร์ สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อจบปริญญาตรีแล้ว จึงเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยจอนส์ฮอปกินส์ สหรัฐอเมริกา เริ่มทำงานครั้งแรกกับเครือเจริญโภคภัณฑ์อยู่ระยะหนึ่ง แล้วลาออกไปเข้ารับราชการเป็นเจ้าหน้าที่ทูต กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ต่อมาได้ลาออกมาทำงานสื่อมวลชนเต็มตัว โดยเป็นผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์หลายรายการ เป็นระยะเวลากว่าสิบปี


ได้รับการแต่งตั้งเป็นโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ต่อมาไม่นาน ก็ลงสมัครรับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในนามพรรคไทยรักไทย แต่ไม่ได้รับเลือกถึง 2 ครั้ง โดยครั้งแรก การเลือกตั้ง พ.ศ. 2548 นายจักรภพลงเลือกตั้งที่กรุงเทพฯ เขต 30 แทน นายจักรพันธุ์ ยมจินดา ว่าที่ผู้สมัครคนเดิมที่ถูก ศาลจังหวัดระยอง พิพากษาว่ามีความผิดใน คดีหมิ่นประมาท พ.ต.ท.พณาเจือเพ็ชร์ กฤษณะราช ทำให้นายจักรพันธุ์ ต้องเว้นวรรคทางการเมือง 10 ปี ผลการเลือกตั้ง นายจักรภพ แพ้ผู้สมัครจาก พรรคประชาธิปัตย์ คือ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ต่อมาครั้งที่สองใน การเลือกตั้ง 2 เมษายน 2549 นายจักรภพ เป็นผู้สมัครเพียงคนเดียวใน เขต 5 กรุงเทพมหานคร แต่ไม่ได้รับเลือกตั้ง เนื่องจากได้คะแนนเพียง 22,231 คะแนน คิดเป็น 17.27% ในขณะที่มีผู้ลงช่องไม่ลงคะแนน ถึง 55,141 คะแนน [1][2] อย่างไรก็ตามต่อมา นายจักรภพ ได้รับแต่งตั้งเป็น รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลทักษิณ 2
หลังจาก คดียุบพรรค นายจักรภพ พร้อมด้วยกลุ่มผู้บริหารสถานีโทรทัศน์พีทีวี และองค์กรต่อต้านเผด็จการ เป็นแกนนำจัดเวทีปราศรัยต่อต้านคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) และรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ขึ้นที่ท้องสนามหลวง ใช้ชื่อว่า “แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ” (นปก.) ต่อมา เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้นายจักรภพ เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่กำกับดูแลสื่อมวลชนภาครัฐ ในวันที่ 1 เมษายน ปีเดียวกัน นายจักรภพ เป็นประธานในการเปลี่ยนแปลง สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 เป็น สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (เอ็นบีที)


นายจักรภพถูกตั้งข้อสงสัยถึงทัศนคติเกี่ยวกับสังคมไทย สืบเนื่องจากการปาฐกถาเป็นภาษาอังกฤษในหัวข้อเรื่อง “ระบบอุปภัมภ์ ในฐานะที่เป็นอุปสรรคขัดขวางความเป็นประชาธิปไตย” เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (เอฟซีซีที) หลังจากที่เขาถูกจับกุมบริเวณหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ และการบรรยายเป็นภาษาไทยต่อเครือข่ายคนรักทักษิณที่นครลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน[3]
จากกรณีดังกล่าว พันตำรวจโท วัฒนศักดิ์ มุ่งกิจการดี พนักงานสืบสวน (สบ.2) สถานีตำรวจนครบาลบางมด ช่วยราชการสถานีตำรวจนครบาลพหลโยธิน แจ้งความต่อกองปราบปรามว่า เนื้อหาการปาฐกถาของนายจักรภพเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ[4]


นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ทำหนังสือถึงนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้พิจารณาเนื้อหาของคำกล่าวทั้งสองครั้ง โดยเห็นว่าเป็นทัศนคติที่เป็นอันตรายต่อระบบการปกครอง พร้อมกับเรียกร้องให้นายสมัครพิจารณาปลดนายจักรภพออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี


ทั้งนี้ มีการเผยแพร่วีซีดี และแปลรายละเอียดคำบรรยายเป็นภาษาไทยออกไปอย่างลับ ๆ และกว้างขวางในแวดวงข้าราชการพลเรือน ตำรวจ และทหาร โดยเชื่อว่ามีภรรยาของนายทหารคนหนึ่งเป็นผู้เผยแพร่[5] ระหว่างนั้น นายจักรภพได้ให้สัมภาษณ์ว่าคำแปลที่ออกมาคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ตนมิได้มีเจตนาเช่นนั้น รวมทั้งยืนยันในความจงรักภักดีและความบริสุทธิ์ใจของตนเอง ต่อมาในช่วงระหว่างวันที่ 21-23 พฤษภาคม นายจักรภพมิได้เข้ามาปฏิบัติภารกิจที่ทำเนียบรัฐบาล โดยมิได้แจ้งลาราชการ


แต่ทั้งนี้ ในวันที่ 22 พฤษภาคม นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อดีตแกนนำ นปก. แถลงข่าวที่ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ว่านายจักรภพจะเปิดแถลงข่าวในวันที่ 26 พฤษภาคม เวลา 14.00 น. เพื่อชี้แจงถึงคำปาฐกถาและคำบรรยายต่าง ๆ ที่เป็นปัญหาทั้งหมด พร้อมเปิดให้สื่อมวลชนสอบถามประเด็นที่สงสัยทุกเรื่องด้วย ต่อมา ค่ำวันที่ 23 พฤษภาคม นายจักรภพปรากฎตัวในงานฉลองวันเกิดครบรอบ 60 ปี ของนายวีระ มุสิกพงศ์ อดีตประธาน นปก. พร้อมให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว ยืนยันการแถลงข่าวในวันที่ 26 พฤษภาคม ที่ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาลแน่นอน พร้อมให้รอฟังการตัดสินใจถึงอนาคตทางการเมืองของตน


เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) พร้อมด้วยสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ได้ยื่นหนังสือต่อประธานวุฒิสภา เพื่อให้ส่งเรื่องต่อไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวหาว่านายจักรภพกระทำการส่อไปในทางจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อกฎหมายและบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ รวมถึงอาจเข้าข่ายมีการแทรกแซงสื่อ[6] รายละเอียดของข้อกล่าวหาดังกล่าว มีดังนี้
กรณีการกำกับดูแลสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ซึ่งเชื่อว่ามีความไม่โปร่งใสในขั้นตอนการดำเนินการของกรมประชาสัมพันธ์ ในการจัดหาและจัดจ้างบริษัทคู่สัญญา และการทำสัญญากับบริษัท ดิจิตอล มีเดีย โฮลดิ้ง จำกัด ที่เชื่อว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน
กรณีการเปิดโอกาสให้วิทยุชุมชนเข้าแสดงตัว ที่เชื่อว่ามีการยื่นข้อเสนอต่อผู้ประกอบการ ให้ยอมรับเงื่อนไขในการเป็นเครือข่ายของรัฐบาล ในการนำเสนอข่าวสารเพื่อแลกกับการละเว้นดำเนินคดี
กรณีการแต่งตั้งคณะกรรมการกิจการวิทยุกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ซึ่งเชื่อว่ามีการสกัดกั้นให้การแต่งตั้ง กสทช.เป็นไปอย่างล่าช้า เพื่อให้เอื้ออำนวยต่อการใช้อำนาจหน้าที่ เข้าแทรกแซงการทำงานสื่อมวลชนได้ต่อไป โดยระหว่างนี้ก็เชื่อว่ามีการเข้าแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของ คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ที่กำกับดูแลคลื่นความถี่วิทยุโทรทัศน์อยู่ในขณะนี้ด้วย
กรณีการให้นโยบายกับกรมประชาสัมพันธ์ โดยให้ออกระเบียบห้ามมิให้สื่อมวลชนของรัฐสนับสนุนการทำรัฐประหาร ไม่อนุญาตให้ผู้ปฏิบัติงานแสดงท่าทีสนับสนุนรัฐประหารผ่านสื่อมวลชนของรัฐ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ตลอดจนการนำสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยกลับมาดำเนินการเอง เช่นเดียวกับที่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) เคยดำเนินการกับสถานีวิทยุ อสมท โมเดิร์น เรดิโอมาแล้ว แต่ในครั้งนั้นกลับไม่มีผู้ใดคัดค้านแต่อย่างใด
กรณีการดำเนินการกับผู้ดำเนินรายการวิทยุ ที่เชื่อว่ามีการสั่งให้สถานีวิทยุวิสดอมเรดิโอ เอฟ.เอ็ม.105 เมกกะเฮิร์ทซ์ ปลดนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ออกจากการเป็นผู้ดำเนินรายการ ซึ่งนำเสนอบทความวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลและนายกรัฐมนตรี ทั้งที่ความจริงเป็นการลาออกด้วยตัวเอง เพื่อกล่าวหาว่ามีการกดดันให้ปลดออก


ผลงานหนังสือ
สงครามสุดท้าย? เมื่อมหาอำนาจจัดระเบียบโลก. กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, 2544. ISBN 978-974-7381-98-6
ในทีวีไม่มีเทวดา (นะครับ). กรุงเทพฯ : สีดา, 2545. ISBN 978-974-7727-43-2
100 ความเชื่อ 100 ความจริง. กรุงเทพฯ : สารคดี, 2546. ISBN 978-974-484-030-1
พันธมิตรหรือพันธมาร. กรุงเทพฯ : ผู้จัดการ, 2546. ISBN 978-974-91468-8-0
ขอบฟ้าที่ตาเห็น. กรุงเทพฯ : ดีเอ็มจี, 2547. ISBN 978-974-91545-4-0
ชำเราชาวอิรัก. กรุงเทพฯ : Openbooks, 2547. ISBN 978-974-92602-5-8
ทะเลทรายกับสายหมอก. กรุงเทพฯ : ดีเอ็มจี, 2547. ISBN 978-974-92486-4-5
โลก...สุขกับโศก มิได้สิ้นอย่าสงสัย. กรุงเทพฯ : ดีเอ็มจี, 2548. ISBN 978-974-92883-1-3
สยามตามหาเพื่อน. กรุงเทพฯ : ดีเอ็มจี, 2548. ISBN 978-974-93257-1-1
หยดเลือดในทะเลทราย. กรุงเทพฯ : ดอกหญ้ากรุ๊ป, 2549. ISBN 978-974-94525-6-1
โลกทั้งใบให้ไทยเมืองเดียว. กรุงเทพฯ : ตกผลึก, 2550. ISBN 978-974-09-2414-2
ประชาธิปไตยในกรงขัง. กรุงเทพฯ : เพื่อนพ้องน้องพี่, 2550.
กลอนผ่านกระจก"


ใบสั่งเก็บ... จักรภพ เพ็ญแข
คำประกาศลอยแพ "จักรภพ เพ็ญแข" รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ด้วยการยืมปากของ "พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ" อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายแต่อย่างใด


เพราะ "วาจากร้าว" ที่หลุดออกจากปาก "จักรภพ" ระหว่างกล่าวปาฐกถาที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศ (เอฟซีซีที) เมื่อ 29 สิงหาคม 2550 จนถูกฝ่ายค้านตราหน้าว่าเป็น "บุคคลที่มีทัศนคติอันตราย" เป็นเรื่องที่ต่อให้ "คนใหญ่" แค่ไหน ก็ไม่อาจเคลียร์ได้ นอกเสียจากปล่อยให้ "จักรภพ" รับผิดชอบปากตัวเอง..!

อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่าพฤติกรรมดึงฟ้าลงต่ำ-แอบอ้างสถาบัน เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในภาวะที่ 2 ขั้วการเมืองกำลังรบพุ่ง แต่ในกรณี "จักรภพ" สังคมต่างรู้ดีว่าเขาไม่ได้สู้เพื่อตัวเอง แต่เป็นการต่อสู้แทน "ใคร" บางคน "ใคร" คนนั้นจะเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกเสียจาก "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี

1 ปีผ่านไป... "องครักษ์พิทักษ์นาย" ได้รับค่าเหนื่อยเป็นเก้าอี้รัฐมนตรี และเขาน่าจะทำหน้าที่ "ตัวล่อ-ตัวชน" ต่อไปได้ หาก "มือที่มองไม่เห็น" ไม่งัด "วีรกรรมย่ามใจ" ในอดีตขึ้นมาล่อจนกระอัก


ผลจากการไล่เด็ดหัว "จักรภพ" เพียงคนเดียว ได้สร้างแรงสะเทือนต่อคนในพรรคพลังประชาชนเกือบยกแผง เนื่องจากหลักฐานชิ้นสำคัญว่าด้วย "วาทกรรมจักรภพ" ได้ฉายให้เห็นถึง "แนวรบ-แนวร่วม-ปลายทางในการต่อสู้" แบบหมดหน้าตัก และงานนี้ "วงในพรรคพลังประชาชน" ประเมินว่าเรื่องวุ่นๆ ที่เกิดจาก "รัฐมนตรีมุ้งสายบัว" ทำท่าจะสงบไม่ลง จึงไม่แปลก หากจะมีใบสั่ง "ตัดตอน" นักรบผู้นี้..?


แต่ครั้น "นายใหญ่" จะลงไปบัญชาการเขี่ย "จักรภพ" ให้พ้นทางด้วยการปรับออกจากคณะรัฐมนตรีก็ทำไม่ได้ เพราะจะทำให้บรรดาขุนพล แม่ทัพ นายกองที่ขยันออกมาท้าตีท้าต่อยกับ "อรินาย" ตกอยู่ในอาการฝ่อ ฐานลูกพี่ไม่ปกป้อง พอเสร็จนาก็ฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล


ทางออกที่ดีที่สุดจึงอยู่ที่การยืมมือ "บุคคลที่ 3" ลงดาบเชือดนิ่มๆ! "ดาบแรก" มี "ขุนพลคู่ใจ" ที่ชื่อ "เนวิน ชิดชอบ" หัวหน้าวังบุรีรัมย์ เป็นผู้รับมอบ ก่อนส่งซิกให้ "ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง" โฆษกพรรคพลังประชาชน กลุ่มเพื่อนเนวิน ออกมาแกว่งดาบโชว์ พร้อมแกว่งปากสะกิดต่อมรับผิดชอบต่อองค์กรของ "จักรภพ"


"ดาบสอง" ถูกส่งต่อให้ "พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ" อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ออกมาปูดข่าว "ขบวนการล้มปืน ล้มทุน ล้มเจ้า" ว่ากันว่างานนี้มีการจัดฉาก-เตรียมคิวล่วงหน้า โดย "พ.ต.ท.ทักษิณ" ได้เลื่อนเวลาตบเท้าเข้าอวยพรวันคล้ายวันเกิดปีที่ 76 ของ "บิ๊กจิ๋ว" เมื่อ 15 พฤษภาคม จากเดิมตั้งใจจะย่องไปอวยพรเงียบๆ ในเวลา 07.00 น. เป็น 09.00 น. เพื่อให้มีประจักษ์พยานร่วมรู้เห็นการกลับไปเป็น "โซ่เส้นเดียวกัน" ของ "พี่จิ๋ว-น้องแม้ว"


สุดท้ายก็เป็น "บิ๊กจิ๋ว" นั่นเองที่ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า "พ.ต.ท.ทักษิณ ห่วงใยมากในสิ่งที่คุณจักรภพพูด คุณจักรภพต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ คงต้องพิจารณาว่าจะทำอย่างไร"


"ดาบสาม" กลับคืนไปอยู่ในมือของ "หัวหน้าวังบุรีรัมย์" ซึ่งพรั่งพร้อมด้วยสรรพกำลัง มี ส.ส.ในสังกัดกว่า 90 ชีวิต และยังมากด้วยข้อมูล "อินไซด์" ของบุคคลที่ตกอยู่ในสภาพ "เชลยทหาร" เนื่องจากเคยร่วมต่อสู้ในฐานะ "นักรบเสื้อแดง" มาด้วยกัน


หาก "เพชฌฆาต" ได้รับสัญญาณให้ลงดาบเมื่อไร ปฏิบัติการฆ่าตัดตอน "จักรภพ" ย่อมสำเร็จเมื่อนั้น ว่ากันว่าในระยะหลังมานี้ "นายใหญ่และแกนนำวังจันทร์ส่องหล้า" ยอมปล่อยให้ "หัวหน้าวังบุรีรัมย์" แสดง "อำนาจเหนือ" กว่าในการตัดสินใจครั้งสำคัญหลายเรื่อง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะต้องการโลว์โพรไฟล์ตัวเอง เพื่อลดแรงปะทะจากทั้งภายในและภายนอก ขณะที่อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะต้องการรอรับผลตอบแทน โดยไม่ต้องออกแรง


ดังนั้นการเสีย "นักรบฝีปากกล้า" ไปหนึ่งคนจึงไม่มีผลอะไรต่อ "แนวรบ-แนวร่วม-เป้าหมายในการต่อสู้" ของพ.ต.ท.ทักษิณ เพียงแต่ต้องจัด "ขุนพล" และ "ปรับยุทธวิธี" ให้แนบเนียนมากขึ้นเท่านั้น


หากยังจำกันได้ในช่วงปลายรัฐบาล "ทักษิณ 2" ปี 2549 มีข้อเสนอจากแกนนำพรรคไทยรักไทยให้พ.ต.ท.ทักษิณ "เว้นวรรค" และหันไปเล่นบทบาทผู้ใหญ่ทางการเมือง คอยให้คำปรึกษาแก่นักการเมืองรุ่นหลัง แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 บทบาท "ผู้นำนอกทำเนียบฯ" ก็หายไป กระทั่งพรรคพลังประชาชนได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล อดีตนายกฯ ที่ถูกโค่นอำนาจกลับมามีบทบาทอีกครั้ง โดยแสดงออกมาในทำนองเดียวกับ "ลี กวนยู" อดีตนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ หรือ "เหมา เจ๋อ ตุง" อดีตประธานของคณะโปลิตบูโรของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน


ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น "นพดล ปัทมะ" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ และรองเลขาธิการพรรคพลังประชาชน ยังออกมาระบุว่าคณะผู้บริหารของพรรคพลังประชาชน จะลงนามบันทึกความเข้าใจกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนว่าด้วยการแลกเปลี่ยนการอบรมบุคลากร คำถามที่เกิดขึ้นคือ ปลายทางสุดท้ายในการทำสงครามรอบใหม่คืออะไร?

RKA on the road1
















ไปเที่ยววัดมาค่ะ
ยังมีรูปอีกเยอะเลย
เดี๋ยวจะคัดๆวิวสวยๆมาให้ชมกันนะคะ
รู้ค่ะว่าอยากชมวิวมากกว่าชมเจ้าของเว็บ
ฮือๆๆๆ
R-Ka


วิพากษ์เกมโชว์ค่ายเวิร์คพอยท์

วิพากษ์เกมโชว์ค่ายเวิร์คพอยท์

เวิร์คพอยท์ฯก่อตั้งเมื่อปี2531 โดยสองหนุ่มสถาปัตย์จุฬาฯสองท่าน ซึ่งล้วนแต่ผ่านงานในสายบันเทิงจากเจเอสแอลกันมาแล้วโดยให้กำเนิดรายการดังซึ่งยังคงอยู่ยงคงกะพันจนถึงตอนนี้อย่างเวทีทองและชิงร้อยชิงล้าน เวทีทอง เกมโชว์ที่ตอบปัญหาที่เล่นกับคำในภาษาไทยซะส่วนใหญ่ชิงร้อยชิงล้าน เกมโชว์ที่เน้นให้ทายว่าผู้แข่งขันคนนี้ในกลุ่มมีความสามารถแปลกๆหยั่งๆแบบนั้นหรือไม่ นอกจากนี้ก็มีเปิดป้ายลุ้นเงินล้าน อีกทั้งมีตลกเงินล้านมาคอยช่วยสร้างสีสันเฮฮา ให้ความเป็นวาไรตี้ให้กับรายการนอกจากนี้ก็มีรายการที่ผลิตในช่อง5 ซึ่งผลิตมาและก็ปิดฉากไปอย่างเช่น คู่ทรหด ชมรมขนหัวลุก เป็นต้น

โดยรายการที่สร้างเรตติ้งและมีอายุยืนที่สุดคือระเบิดเถิดเทิง รายการตลกซิทคอมเกี่ยวกับชีวิตของผู้คนในซอยเถิดเทิง โดยมีแขกรับเชิญเข้ามาร่วมแสดงในรายการด้วยและร่วมลุ้นสนุกกับการถอดสลักระเบิดแป้งในตู้ระเบิดด้วยแต่ก็น่าเสียดายที่วิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี2540 ส่งผลให้ทางเวิร์คพอยท์ต้องถอนยวงรายการออกจากช่อง7ไปเนื่องจากไม่สามารถรับนโยบายที่ทางสถานีต้องการให้ลดต้นทุนการผลิตรายการลง แทนที่จะให้ทางสถานีลดค่าเช่าเวลา ทำให้ช่อง7และเวิร์คพอยท์ไม่ได้ร่วมสังฆกรรมอีกเลยนับแต่นั้นมา

แม้จะมีช่วงหนึ่งที่เวิร์คพอยท์กลับทำรายการคนอึดบันทึกโลกหรือใครผิดยกมือขึ้นให้กับสถานีอีกครั้ง แต่รายการพวกนั้นกลับไม่สามารถสร้างเรตติ้งให้ทางสถานีพอใจได้ ทำให้เวิร์คพอยท์ต้องปิดฉากตัวเองในช่อง7อีกครั้งแต่เวิร์คพอยท์ในช่วงหลังวิกฤตเศรษฐกิจกลับสร้างรายการเกมโชว์เรียกเรตติ้งสูงๆได้หลายรายการในช่อง5เช่นเกมจารชน เกมโชว์ที่สร้างประวัติศาสตร์รางวัลเกมโชว์ยอดเยี่ยมแห่งเอเซียจากAsian Television Awardถึงสองสมัยซ้อน โดยมีช่วงรายการอย่างถอดรหัสระเบิด ,ทายปัญหาจากCodeลับ1พยางค์ที่ผู้เข้าแข่งขันที่รับบทตัวประกันพูดออกมา ,ทายปัญหาจริงหรือไม่ในช่วงเหมืองนรก และสุดท้ายเปิดป้ายลุ้นแจ็คพอตเลี้ยงเอเลี่ยนให้โตขึ้น

เกมแก้จน เปิดตัวเมื่อปี2541ยุคเทเลไฟว์ครองสัมปทาน เกมโชว์ที่ให้ทายตัวจริงของเจ้าของธุรกิจดังๆว่าเป็นใครจากแขกรับเชิญที่ให้มา พร้อมกับเผยเบื้องลึกกว่าจะเป็นธุรกิจใหญ่ในปัจจุบัน และก็มีให้ทายว่าคนผู้นี้ทำอาชีพอะไรจากข้อมูลในแผ่นป้ายซึ่งรายการนี้ถือเป็นการสร้างฐานข้อมูลสำคัญอันนำไปสู่การเปิดตัวเวิร์คพอยท์สำนักพิมพ์ และเปิดตัวนิตยสารแก้จน และพ็อกเก็ตบุ๊คส์เกี่ยวกับการบริหารจัดการธุรกิจหลายเล่มในปัจจุบันนี้

แฟนพันธ์แท้ เปิดตัวเมื่อปี2543 สุดยอดเกมโชว์ที่คว้ารางวัลเกมโชว์ยอดเยี่ยมมามากมายหลายสำนักมากกว่าสิบรางวัลขึ้นไป โดยรายการนี้แรกๆจัดขึ้นเพื่อแสดงความเป็นแฟนคลับดาราคนดังๆโดยการตอบปัญหายากๆเกี่ยวกับตัวดาราคนดังนั้นๆแต่ต่อมารายการนี้เริ่มขยายหัวข้อการแข่งขันกว้างขวาง และสร้างสรรค์ทางภูมิปัญญามากขึ้นเช่น มือถือ ,ประวัติศาสตร์กรุงศรีฯ ,มวยปล้ำ ,พระเครื่อง ,การ์ตูนญี่ปุ่น ,ภาษาไทย ,น้ำหอม ,เครื่องบินรบ ,ตลกคาเฟ่ ,แมลง ,นาฬิกา ,แสตมป์ ,เว็ปไซท์ไทย ฯลฯ ทำให้รายการนี้ได้รับความนิยมจากหมู่เหล่าคนที่มีความเชี่ยวชาญชำนาญและคลั่งไคล้ในห้วข้อต่างๆมากมาย ทำให้ผู้ชมทึ่งกับความสามารถของผู้เข้าแข่งขันพร้อมๆกับได้รับสาระไปด้วย

นอกจากนี้ยังผลิตรายการให้กับโมเดิร์นไนน์อย่างเกมทศกัณฐ์ เกมโชว์สร้างกระแสเรตติ้งด้วยเงินรางวัลถึง10ล้านบาท ถ้าสามารถตอบหน้าคนดังปริศนาได้ครบ10หน้าโดยมีการแข่งขันกันตอบกับฝ่ายตรงข้ามเพื่อเป็นแชมป์เล่นในรายการต่อไปเรื่อยๆทั้งยังออกอากาศแบบต่อเนื่องทุกวันธรรมดา ทำให้รายการนี้ดังเร็วมากจนต้องเปิดรายการเกมทศกัณฐ์เด็กเพื่อให้เด็กๆได้มีโอกาสแสดงความสามารถของตัวเองบ้าง

คุณพระช่วย วาไรตี้โชว์แสดงศิลปวัฒนธรรมของชนชาติไทยแขนงต่างๆที่ควรแก่การอนุรักษ์ให้ชนรุ่นหลัง

ชัยบดินทร์โชว์ วาไรตี้โชว์เปิดโอกาสให้ตลกเงินล้านได้แสดงความสามารถในการดำเนินรายการของตัวเอง นอกจากนี้ยังมีรายการชิงช้าสวรรค์ซึ่งไม่พ้นแนวเดียวกันนี่เปิดตัวออกมาด้วย


Websiteของบริษัทเวิร์คพอยท์เอนเตอร์เทนเมนต์จำกัด(มหาชน) http://www.workpoint.co.th
วิพากษ์ข้อดีข้อเสียของรายการของค่ายเวิร์คพอยท์ข้อดีที่ผมเห็นได้ชัดเจนก็คือรายการของค่ายนี้ไม่ว่าจะไปอยู่ช่องไหนล้วนแต่สร้างเรตติ้งได้ดีเยี่ยมไม่แพ้รายการที่อยู่สถานีใหญ่ๆอย่างช่อง3และช่อง7 ทีวีช่องไหนก็ล้วนแต่ต้องการตัวไปผลิตรายการให้ทั้งนั้น แม้แต่ช่อง3ซึ่งเขี่ยเวิร์คพอยท์ทิ้งไปหลังจากปันใจไปร่วมผลิตรายการยุคเทเลไฟว์ กลับมาทำรายการกล่องดำให้อีกครั้งหนึ่ง เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นผู้จัดรายการทีวีที่มีอำนาจและบารมีสูงกว่าตัวสถานีบางช่องซะอีก(ในส่วนลึกผมคิดว่าตรงนี้เป็นอีกเหตุหนึ่งที่ทำให้7สีไม่ค่อยอยากเอาเวิร์คพอยท์มาผลิตรายการให้ต่อไปมั๊ง เพราะทางสถานีนั้นต้องการให้อำนาจและบารมีของเรตติ้งอยู่ที่ตัวสถานีมากกว่าตัวของผู้จัดรายการซะเองเพื่อไม่ให้มีอำนาจมาต่อรองอะไรกับทางสถานีได้)

ทั้งช่อง5และช่อง9ถ้าขาดเวิร์คพอยท์ไปก็คงไร้สีสันขาดเรตติ้งไปเยอะทีเดียวคุณภาพรายการถือว่าเยี่ยมสุดๆ ไม่จำเป็นต้องอาศัยผู้เข้าแข่งขันเป็นดาราคนดังมาแข่ง เอาแค่ผู้ชมทางบ้านที่มีความรู้ความสามารถมาแข่งก็สามารถทำให้รายการมีเรตติ้งอยู่ได้ อีกทั้งยังเป็นการแจ้งเกิดผู้เข้าแข่งขันในอีกทางหนึ่งด้วยโดยเฉพาะผู้เข้าแข่งขันในรายการแฟนพันธ์แท้


ข้อเสียถ้าเราดูรายการเวิร์คพอยท์ไปนานๆเข้า ก็คงจะรู้สึกถึงการเอาเปรียบตรงนี้ได้นั้นก็คือความยืดเยื้อของรายการนั้นเองครับเนื่องจากรายการทีวีนั้นต้องการที่จะขายโฆษณาให้ได้มากที่สุดโดยให้มีการแจกเงินรางวัลในช่วงรายการน้อยที่สุด ซึ่งการยืดรายการก็เท่ากับเป็นยืดเวลาที่เจ้าของรายการจะต้องจ่ายเงินรางวัลให้กับผู้เข้าแข่งขันด้วยเช่นกันรวมถึงรางวัลที่จะแจกให้ผู้แข่งขันท่านอื่นๆในเทปต่อๆไป ตัวอย่างที่เห็นกันได้ชัดเจนที่สุดก็คือเกมทศกัณฐ์นั้นเองครับและนอกจากนี้การผลิตรายการในเทปใหม่ๆมัึกจะใช้เวลาในการเตรียมงานมากเอาเรื่องเหมือนกัน โดยเฉพาะรายการแฟนพันธ์แท้ซึ่งต้องใช้เวลาในการหาข้อมูลและคัดเลือกตัวผู้เข้าแข่งขันที่มีความสามารถและเหมาะสมในการเข้าไปแข่งขันในรายการ


มาถึงตรงนี้ผมต้องขอพูดถึงรายการแฟนพันธ์แท้เป็นพิเศษถึงข้อเสียที่ผมต้องขอกล่าวถึงสักหน่อยนั้นก็คือการแข่งขันแฟนพันธ์แท้แห่งปี(Fan of the Year)นั้นละครับเนื่องจากการแข่งขันในช่วงตรงนี้นั้นคือการเอาความสามารถในด้านและสาขาที่ต่างๆกันเอามาแข่งกัน ซึ่งในความเป็นจริงถือเป็นการไม่ยุติธรรมเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะแฟนพันธ์แท้หัวข้อที่มีความกว้างขวางและลึกซึ้งที่ไม่เหมือนกัน คนละมาตรฐานความรู้สึกกัน แน่นอนครับว่าผมไม่เห็นด้วยกับตรงนี้และหันไปดูรายการแนวอาหารสมองวิจารณ์สาระหนักๆอย่างเมืองไทยรายสัปดาห์ของคุณสนธิแทนและความยืดเยื้อนั้นก็เห็นกันได้ชัดเจนมากขึ้น แสดงให้เห็นถึงการเอาเปรียบผู้ชมอย่างเห็นได้ชัดคำถามแฟนพันธ์แท้บางข้อนั้นต้องยอมรับว่าแม้จะทำเอาผู้ชมร้องอู้หูกับความยากและซับซ้อน ถ้าตอบได้ก็ทำเอาฮือฮา แต่ในขณะเดียวกันมันกลับกลายเป็นคำถามที่ไร้สาระไม่ประเทืองปัญญาไม่ชวนให้ผู้ชมบางส่วนอยากรู้ด้วยซ้ำไป เป็นจุดอ่อนอีกจุดหนึ่งเช่นกันมาถึงตรงนี้ผมว่าการแข่งขันแฟนพันธ์แท้แห่งปีเห็นควรจะเลิกไปได้แล้วครับ เหลือเพียงแค่แข่งกันตามหัวข้อแค่นั้นก็พอแล้วครับอย่าเอามาแข่งเทียบข้ามรุ่นกันเลย

ตีแผ่ละครพื้นบ้านไทย

ตีแผ่ละครพื้นบ้านไทย

ตีแผ่ละครพื้นบ้านไทยกระทู้นี้ไม่มีสปอนเซอร์ อยากได้ไปซื้อเอาเองตาม เซเว่น อีเลฟเว่น หรือตามร้านโชว์ห่วย ขวดละ 12 บาทมั้ง กะป๋อง 8 บาทก็มี กระทู้นี้เป็นการติเพื่อก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น และที่สำคัญที่สุด กระทู้นี้เกิดขึ้นเพราะผมเบื่อหนังจักรๆวงศ์ๆที่ยังไม่พัฒนาและไม่มีความเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อนเลย ถึงแม้จะบอกว่าเป็นการอนุรักษ์ก็เถอะ


หนังจักรๆวงศ์ๆนี้เกิดขึ้นมาตอนไหน ไม่มีประวัติที่ระบุแน่ชัด ทราบเพียงว่าตอนนี้มี Free TV อยู่ 2 ช่องที่สร้างหนังประเภทนี้มาแข่งกัน นั่นคือ ช่อง 7 กะ ช่อง 3 คู่แข่งทั้งด้านละครน้ำเน่าและหนังจักรๆวงศ์ๆ ขอแนะนำให้ไปอ่าน”โครงการตีแผ่ครั้งที่ 2 “ละครน้ำเน่าไทย” แข่งสร้างละครน้ำเน่าไม่พอยังมาแข่งสร้างหนังประเภทนี้อีก โดยช่อง 7 จะมีฉายทุกวัน โดยวันจันทร์ถึงศุกร์ช่วงประมาณ 5 โมงเย็นจะเป็นหนังเรื่องเก่าที่เคยฉายไปแล้ว และวันเสาร์อาทิตย์เวลา 8 โมงครึ่งจะเป็นหนังที่เพิ่งสร้าง

ส่วนช่อง 3 จะมีละครประเภทนี้ตอนประมาณ 4 โมงเย็นกว่าๆ วันจันทร์ถึงศุกร์ ถ้ามีเวลาดูทีวีควรหลีกเลี่ยง ช่อง เวลา และวันที่กล่าวไว้ เป็นอย่างยิ่ง หนังจักรๆวงศ์ๆคือ ? มีผู้รู้คนหนึ่ง(ใครก็ไม่รู้เหมือนกัน)กล่าวว่า”หนังจักรๆวงศ์ๆ คือการนำนิยายพื้นบ้าน นิทานปรัมปรา มาทำเป็นละคร แล้วเอามาฉายทาง TV ให้เด็กที่แหกขี้ตาตื่นแต่เช้ามาดูการ์ตูนดูเป็นของแถมเผื่อเลือก ไม่ก็ฉายให้พวกพ่อบ้านแม่บ้านที่ตื่นแต่เช้ามารับเวรรับกรรม รับใช้ลูกๆบังเกิดเกล้าที่แหกขี้ตาตื่นแต่เช้ามาดูการ์ตูนดูแก้เครียด”(แต่ผมว่าดูแล้วจะเครียดหรืออารมณ์เสียมากกว่านา)

ตัวละครที่ต้องมีในหนังจักรๆวงศ์ๆ แน่นอนอยู่แล้ว คำว่า จักรๆวงศ์ๆย่อมแปลว่าต้องมีตัวละครประเภทกษัตริย์ หรือตัวละครที่มีเชื้อเจ้าขุนมูลนาย ไปดูได้ทุกเรื่องต้องมีกษัตริย์ทั้งนั้น อยู่ที่ว่าจะเป็นพ่อแม่ของพระเอกหรือนางเอกเท่านั้นพระเอก หน้าตา(คิดว่า)ไทยๆ ไม่เอาลูกครึ่ง ผิดกับละครน้ำเน่า ไม่จำเป็นต้องหล่อมากเอาแค่พอดูได้ จะเก่งด้านรบหรือ POTTER อันนี้ก็แล้วแต่บท อาจจะเป็นลูกกษัตริย์หรือไม่ก็ได้ ถ้าเป็นลูกกษัตริย์จะเป็นพวกบาปหนา ชอบล่าสัตว์ และเข้าป่า(พลัง H หรือเปล่าไม่รู้) ถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดาๆ ไม่ต้องกลัว มันจะต้องมีเรื่องให้ไปข้องแวะกับในวังแล้วจะได้เจอนางเอกซึ่งเป็นเจ้าหญิงในภายหลัง

นางเอก หน้าตา(คิดว่า)ต้องเป็นแบบไทยๆ สวยขนาดไหนแล้วแต่จะหาได้ นางเอกส่วนมากเป็นเจ้าหญิงซึ่งไม่จำเป็นต้องเรียนหนังสือหรือทำงานทำการ และส่วนมากจะเป็นพวกขึ้นคานหาสามีไม่ได้ ต้องให้บิดาช่วยป่าวประกาศหาคู่ให้ ถ้าบทนางเอกเป็นหญิงชาวบ้าน ไม่ต้องกลัวไป เดี๋ยวก็เจอเจ้าชายเองล่ะ ไม่มีทางได้กับชาวบ้านด้วยกันหรอก นายพราน ผู้ชายหลังค่อมๆ หน้าโจรๆ ใส่เสื้อสีแดงเก่าๆ เขรอะๆ หนวดเครารกรุงรัง ผมยาวรุ่มร่าม มีย่าม 1 ใบ กะ หน้าไม้อีก 1 อัน เก่งเรื่องป่าแต่พาคนไปเที่ยวป่าแล้วหลง เป็นตัวตั้งตัวตีในการชวนเจ้าชาย (Prite ? )ไปเที่ยวป่า เพื่อหาของป่าไม่ก็ไปดูของแปลก

สัตว์ยักษ์และสัตว์ในจินตนาการ ประเภทครุฑ นกยักษ์ กินรี ตัวอะไรสักอย่างที่คล้ายๆนกที่เป็นรูปปั้นอยู่บนยอดเสาแถวถนนราชดำเนิน แถวสนามหลวง ซึ่งอันนี้เข้าใจว่าเป็นสัตว์ในเทพนิยายของไทย แต่บางเรื่องมันมีนี่ด้วย เพกาซัส กะ มังกร(แบบตะวันตก) ย้ำ!! เพกาซัส กะ มังกร 2 ตัวนี้มันเป็นสัตว์ในเทพนิยายของไทยตรงไหนฟะ เนื่องจากไม่เคยมีใครได้ยินเสียงของสัตว์พวกนี้เพราะเป็นสัตว์ในเทพนิยาย เวลาที่มีบทสัตว์เหล่านี้พูด เสียงที่ได้ยินจึงมักจะเป็นเสียงที่หาได้ยากในสากลโลก ฟังแล้วทุเรศและระคายหูมากกว่าเสนาะหูหรือน่าเกรงขาม

สิ่งของวิเศษ แยกได้หลายประเภทเช่น ลูกแก้ววิเศษ,ดาบ,มีดวิเศษ ที่มีประสิทธิภาพและความสามารถเว่อร์แสนเว่อร์ ประมาณมีในครอบครองแล้วสามารถครองโลกได้ ไม้เท้าพูดได้,หมาดำพูดได้,ปลาพูดได้ยืนด้วยหางได้ พวกนี้ส่วนมากจะมีขึ้นมาให้เป็นผู้ช่วยของเหล่าพระเอก จะช่วยมากช่วยน้อยหรือไม่ช่วยเลยก็แล้วแต่ และที่สำคัญ เสียงของพวกนี้ จะฟังแล้วทุเรศหูและน่ารำคาญ

โหรหรือปุโรหิต ชายแก่ หนัง(คำหยาบใช้ก่อนคำว่าเฉา)ย่น มีกระดานชนวนอยู่ 1 กระดานกะดินสอพอง 1 แท่ง วันๆเอาแต่ทำนายแล้วกราบทูลๆ แม้ว่าวันนั้นไม่มีเรื่องอะไรให้ทำนายก็ยังกราบทูลอยู่ โหรหรือปุโรหิตส่วนมากเป็นพวกโลภมากเห็นแก่เงิน ชอบรับสินบนบ่อยๆ อันเป็นเหตุให้การรับสินบนแพร่หลายดังเช่นในปัจจุบัน เอกลักษณ์ที่สำคัญของโหรหรือปุโรหิตคือ เสียง เสียงของโหรหรือปุโรหิตจะแหลมเล็กและที่สำคัญจะพูดเหมือนมีเสลดติดคอ ตัวอย่าง (โหรจะกราบทูลว่าจะมียักษ์บุกเข้ามาในเมือง) “อื๋อฮึ เอ่อ เกล้ากระหม่อม อื๋อฮึ ทำนาย อื๋อ แล้วได้ความ อื๋อ ขาก….(เสลดติดคอ ขากเสลดซะทีนึง) อื๋อออ.. ว่า. เอ่อ….อื๋อฮึ จะมียักษ์ อื๋อฮึ บุกเข้ามาในเมือง อื๋อฮึ พระเจ้าข้า” (ทันทีที่พูดจบ เท้าข้างหนึ่งของยักษ์ก็เหยียบลงมาทับทั้งโหรทั้งกษัตริย์ตายคาที่ 555555555 )

ยักษ์ เทวดา ฤาษี รุกขเทวดา สี่อย่างนี้อยู่คู่กับเรื่องประเภทนี้มานาน เราจะมาแยกเป็นอย่างๆดังนี้ - ยักษ์ ถ้าเป็นผู้ชายต้องหน้าเหมือนโจร ตัวต้องดำ เขี้ยวต้องยาวใหญ่และยื่นออกมาเหมือนหมูป่า และมีลายเขียนอยู่รอบๆปากให้ชาวบ้านรู้ว่าเป็นยักษ์ ถ้าเป็นผู้หญิงอันนี้แล้วแต่จะสวยไม่สวย ขาวไม่ขาวแล้วแต่บทที่ได้ - เทวดา ผู้ชายหน้าธรรมดาๆ ไม่ต้องหล่อ ตัวเขียวๆได้ยิ่งดี จะได้รับบทเป็นพระอินทร์ไปเลย และทีสำคัญก็คือ เทวดาต้องมีหนวดเพื่อความน่าเกรงขาม และหนวดที่ว่าต้องเป็นแบบม้วนๆด้วย ถ้าใครไม่มีหนวด ก็ใช้ดินสอ 2B นั่นแหละเขียนเอา ดำดีประหยัดดีด้วยไม่ต้องไปซื้อหนวดปลอม

- ฤาษี ชายแก่(บางทีก็ไม่แก่แค่กลางคน) ใส่ชุดหนังเสือ (ฤาษีเป็นพวกนักบวชไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไม่นิยมความฟุ่มเฟือยไม่ใช่เหรอ แล้วมาใส่ชุดหนังเสือเนี่ยนะ) หนวดเครายาวมากองที่หน้าตัก ฤาษีจะมีไม้เท้า 1 อัน เอาไว้ทำอะไรก็ไม่รู้ เกะกะเปล่าๆ ของกินประจำอาศรมของฤาษีคือ กล้วย องุ่น (สงสัยจะเป็นองุ่นป่า) แอปเปิลเขียว ( เฮ้!! สมัยก่อนนู้นเมืองไทยมีแอปเปิลด้วยเรอะ) - รุกขเทวดาหรือนางไม้ ถ้าเป็นรุกขเทวดา จะเป็นชายวัยกลางคนใส่ชุดแบบคนที่เป็นคนหว่านเมล็ดข้าวในวันพืชมงคลนั่นแหละ มีหน้าที่แค่ช่วยบอกทางไม่ก็ให้ที่หลบภัยเท่านั้น

กรณีนางไม้ จะเป็นผู้หญิง หน้าตา(น่าจะ)สวย นุ่งผ้าสไบเฉียง ดูๆไปนึกว่าแม่นาก หน้าที่หรือบทก็เหมือนรุกขเทวดานั่นแหละ ต้องทำใจว่าเราเป็นแค่ตัวประกอบไม่มีบทบาทมากหรอก แต่ว่าไปพวกเทพยดานางไม้ที่นุ่งสไบเฉียงส่วนมาก โนบราแล้วสไบมันก็บางๆไม่ใช่เหรอ ไม่เชื่อไปเปิดปฏิทินสงกรานต์ของธนาคารออมสินดูสิ ภูตผี อันนี้ก็อยู่คู่หนังประเภทนี้มานานแสนนาน ภูติผีที่โผล่ออกมาเป็นประจำเห็นจะหนีไม่พ้น ผีโครงกระดูกหรือ Skelton ( อันนี้ผมไม่แน่ใจว่าเมืองไทยมีผีแบบนี้ด้วยเหรอ ถ้าจำไม่ผิด Skelton มันของฝรั่งไม่ใช่เหรอ ) และเหมือนกับหัวข้อ ***ยักษ์และสัตว์ในจินตนาการ ตรงเสียง คือ ฟังแล้วทุเรศหูมากกว่าน่ากลัว สเปเชียลเอฟเฟ็ค แยกได้หลายประเภทดังนี้ ระเบิดสนั่นตูมตาม SFX อันนี้จะมีอยู่ตามฉากสู้รบ ประเภทพระเอกคนเดียว ศัตรูเป็นสิบ แล้วพระเอกก็ใช้พลังของอาวุธพิเศษในมือ ยิงอะไรสักอย่างไปโจมตีใส่ศัตรูระเบิดตูมตาม อันนี้จะสังเกตได้อย่างว่า*ระเบิดจะระเบิดตรงข้างๆกับข้างหลังตัวนักแสดงที่รับบทเป็นศัตรูเท่านั้น (มันน่าจะมีระเบิดใส่หน้ามั่ง จะได้สมจริงหน่อย)

และศัตรูที่รับบทนี้จะสามารถ ราวน์ดดร็อป ม้วนหน้า ลังกาหน้า ลังกาหลัง ไปตามแรงระเบิดได้อย่างสวยงาม เหาะเหินเดินอากาศ เดินเหยียบน้ำ เคยเป็นยังไงมันก็ยังอย่างงั้น ไร้ซึ่งการพัฒนา เคยเห็นเป็นเส้นๆ(ตัดต่อ)ยังไง เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นยังงั้น บลูสกรีนไม่มีใช้เหรอ ยังไงๆก็น่าจะทำให้มันแนบเนียนหน่อยสิ เด็กๆมาดูยังรู้เลยว่ามันตัดต่อ ไม่ใช่บลูสกรีน

และนั่นคือทั้งหมดที่ผมหามาตีแผ่(กัด)ได้ ดังที่กล่าวข้างต้น กระทู้นี้ตั้งขึ้นเพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี ไม่ใช่เลวลง และเพื่อเป็นการอนุรักษ์นิทานพื้นบ้านของไทยให้คงอยู่ต่อไป ถึงแม้จะดูเหมือนผมมานั่งบ่นให้ฟังก็เถอะ ยังไงๆถ้ากระทู้นี้มีคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องแนวนี้รับไปอ่านแลัวพิจารณาก็คงจะดี หนังแบบนี้จะได้มีการพัฒนาซะที “ขอบคุณที่เสียเวลามานั่งอ่านกระทู้ที่ไม่ค่อยมีสาระนี้”

วันอาทิตย์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

สาวน้อยลั้ลลาที่อียิปต์






















ไม่มีเวลาลงภาพ กล้องหายที่นั่น นี่เอามาจากพี่ช่างภาพบางส่วนนะคะ และจากเว็บด้วย
ดูภาพไปพลางๆก่อนนะคะ เดี๋ยวจะมาเสริมบทบรรยายแต่ละภาพอีกทีค่ะ


R-Ka


ปล ยัยคนที่ถือกล้องถ่ายวิดีโอ บนอูฐน่ะ ดิชั้นเองนะคะ แงๆๆ มีตัวเองภาพเดียวเองมั้งเนี๊ยะ เซร็งงงงงงงงง




บารัค โอบามา : ความท้าทายแรกคือการเยียวยาความเสียหายจากความผิดพลาดในการตอบโต้ 9/11


บารัค โอบามา : ความท้าทายแรกคือการเยียวยาความเสียหายจากความผิดพลาดในการตอบโต้ 9/11

วิไล ตระกูลสิน แปล

แปลจากบทความ The Need for a New Face โดย Barack Obama จากนิตยสาร Newsweek Special Edition Issue 2008 หน้า 36


วุฒิสมาชิกบารัค โอบามา เป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตที่กำลังมาแรงและคาดว่าภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ น่าจะทราบผลชี้ขาดว่าใครจะเป็นตัวแทนของพรรค เราจึงน่าจะทำความรู้จักกับโอบามา ให้มากขึ้น

รู้จักบารัค โอบามา จากข้อเขียนของเขา

เมื่อจอร์จ ดับเบิลยู บุช พ้นจากตำแหน่ง จะเปิดโอกาสให้สหรัฐอเมริกากลับสู่การเป็นผู้นำของโลกและเอาชนะภัยคุกคามนอกแบบ สหรัฐต้องทำมากกว่าเปลี่ยนประธานาธิบดีที่ล้มเหลว ถึงเวลาที่อเมริกาจะแสดงโฉมหน้าใหม่แก่โลก

ความท้าทายอันดับแรกคือการเยียวยาความเสียหายจากการตัดสินใจที่ผิดพลาดในการตอบโต้เหตุการณ์ 11 กันยายน ด้วยการบุกอิรัก เพื่อยุติสงครามอย่างรับผิดชอบ ต้องระดม อิรัก ประเทศเพื่อนบ้านและโลกให้สนับสนุนมติเพื่อความมั่นคงในภูมิภาค เราต้องไม่ใช้ความรุนแรงในการรุกราน วอชิงตันจะอยู่ในฐานะที่เข้มแข็งขึ้นถ้าประธานาธิบดีคนต่อไปไม่ต้องแบกรับภาระสนับสนุนสงคราม หรือภาระที่ต้องปฏิเสธการเจรจากับผู้นำอิหร่านและซีเรียจนกว่าพวกเขาจะปฏิบัติตามเงื่อนไขเสียก่อน ผมจะทำเช่นนั้น

การยุติสงครามคือบทใหม่ของความสัมพันธ์ สหรัฐถูกมองว่าเย่อหยิ่ง และเย็นชา ปกป้องอำนาจของตนเองแต่ไม่สามารถใช้อำนาจอย่างฉลาด พูดขึงขังแต่ปฏิเสธที่จะทำงานร่วมกับพันธมิตรหรือพบกับผู้นำที่ตนเองไม่ชอบ สิ่งเหล่านี้บั่นทอนความสามารถในการนำของสหรัฐ เพิ่มความแตกแยกกับศัตรูและยืดเวลาที่จะยุติปัญหาออกไป ศัตรูของสหรัฐชนะในสงครามโฆษณาชวนเชื่อ โดยประณามว่าอเมริกาไม่ยอมร่วมโต๊ะเจรจา รัสเซียและจีนเข้ามาสวมช่องว่างที่วอชิงตันล้มเหลวในการนำ

สหรัฐอเมริกาต้องการประธานาธิบดีที่ยินดีพูดกับทุกประเทศ ไม่ว่ามิตรหรือศัตรู การเปิดกว้างจะช่วยพลิกภาพของอเมริกาที่ถูกมองว่าเป็นตัวอุปสรรค ประเทศต้องการผู้นำใหม่เพื่อเอาชนะสงครามโฆษณาชวนเชื่อจากเผด็จการที่ชั่วร้าย และทำงานแก้ไขความขัดแย้งด้วยตนเอง ไม่ใช่แค่โดดร่มเข้าไปเพื่อถ่ายรูปเท่านั้น เพื่อสนับสนุนความพยายามนี้ วอชิงตันต้องเพิ่มบุคลากรด้านการต่างประเทศและเปิดกงศุลขึ้นใหม่ในมุมต่างๆ ของโลกที่เป็นปัญหา

เพื่อเอาชนะภัยคุกคามจากพวกหัวรุนแรงมุสลิม สหรัฐต้องเปลี่ยนจากการพึ่งพาการใช้กำลังทหารขนาดใหญ่ มาเป็นการเจาะแหล่งซ่อนตัวที่ปลอดภัยของผู้ก่อการร้าย และใช้ความร่วมมือในการสืบสวนและการบังคับใช้กฏหมายระหว่างประเทศ เพื่อสลายเครือข่ายผู้ก่อการร้าย เพื่อตอบโต้นักเผยแพร่ความเกลียดชังด้วยสาส์นแห่งความหวัง อเมริกาควรส่งคนที่ดีที่สุดและฉลาดที่สุดไปต่างประเทศเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับโลกมุสลิม และประธานาธิบดีต้องฟื้นฟูความเป็นผู้นำคุณธรรมโดยปิดค่ายกวนตานาโมและเลิกการทรมานโดยไม่อ้อมค้อม

โลกจะทำงานร่วมกับอเมริกา ไม่ใช่ต่อต้านอเมริกา ถ้าใช้อำนาจอย่างมีหลักการและนำไปสู่เป้าหมายร่วมกัน เราต้องฟื้นฟูเป้าหมายที่จะกำจัดอาวุธนิวเคลียร์ไปจากโลก ผมจะทำให้มั่นใจว่าชิ้นส่วนประกอบของอาวุธนิวเคลียร์จะปลอดภัย ทำให้สนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์เข้มแข็งขึ้น และต่อรองให้มีการลดคลังอาวุธนิวเคลียร์ของโลกอย่างจริงจัง เป้าหมายของสหประชาชาติที่จะลดความยากจนขั้นรุนแรงลงครึ่งหนึ่งในปี 2015 ต้องเป็นเป้าหมายของอเมริกาด้วย เพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ผมจะเพิ่มเงินช่วยเหลือต่างประเทศขึ้นอีกหนึ่งเท่าตัวเป็นห้าหมื่นล้านดอลล่าร์ เราต้องต่อสู้กับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยนำโลกไปสู่การลดการปล่อยมลพิษลงร้อยละ 80 จากระดับเมื่อปี 1990 ภายในปี 2050 เราต้องทำอย่างจริงจัง อย่างมีข้อผูกมัด และ โปร่งใส สำหรับมลพิษของสหรัฐ

โลกจะได้เห็นโฉมหน้าใหม่ของอเมริกาในวันที่ผมได้รับเลือกตั้ง ความเข้าใจของผมเกี่ยวกับความท้าทายนี้ไม่ได้มาจากพื้นที่ของอำนาจการเมืองเท่านั้น แต่มาจากโลกที่กว้างออกไป พ่อผมข้ามมหาสมุทรมาเพื่อหาความฝันแบบอเมริกัน ตอนเป็นเด็ก ผมวิ่งเล่นเท้าเปล่ากับเด็กๆ ในอินโดนีเซีย เมื่อเป็นหนุ่มผมทำงานในมุมหนึ่งของอเมริกาที่ไม่มีใครสนใจ ที่ซึ่งผู้คนต้องต่อสู้กับความรุนแรงและสิ้นหวัง ไม่ว่าผมจะอยู่ในการประชุมสุดยอด G8 หรือในอาฟริกา ผมจะพูดไม่ใช่ในฐานะของผู้ที่เตรียมข้อมูลมาอย่างดีเท่านั้น แต่พูดในฐานะของคนที่มีย่าอาศัยอยู่ในกระท่อมที่ไม่มีน้ำประปา ในหมู่บ้านของเคนย่าที่เต็มไปด้วยเอชไอวี/เอดส์

ความเป็นผู้นำของสหรัฐเคยประสบความสำเร็จ เมื่อไรก็ตามที่คนอเมริกันรุ่นใหม่มอบวิสัยทัศน์ใหม่ นโยบายใหม่ และโฉมหน้าใหม่แก่โลก ผมจะรวมพลังและระดมคนอเมริกันเพื่อผลักดันแนวทางนี้โดยการเปิดกว้างและซื่อสัตย์ต่อคนในประเทศ และผมจะนำอเมริกาที่โลกจะให้ความไว้วางใจและเชื่อถือได้อีกครั้งหนึ่ง

หนู..."สอบไม่ติด" แต่...ชีวิตต้อง "เดินต่อ"






ตอน : หนู..."สอบไม่ติด" แต่...ชีวิตต้อง "เดินต่อ"
"...สุดที่รัก โทรมาช่วยรับหน่อย..." เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นในช่วงเช้าของวันนี้ ปลุกผมให้สะดุ้งขึ้นจากความฝันอันแสนหวานที่กำลัง "จุ๊กกะจิ๊กจู๋จี๋" กับน้อง "เทย่า" ซึ่งเป็นผลพวงจากการดูละคร "นางแมว เมี๊ยว แซบอีหลี" เมื่อคืนวันก่อน แล้วเก็บเอา มาฝันเป็นตุเป็นตะว่ากำลัง "หวานหยดจนมดมารุมไต่ตอม" กะน้องเทย่าผู้น่ารักนั่นเอง
"ใครโทรมาวะเนี่ย...?" ผมงัวเงียขึ้นจากที่นอน ซึ่งจริงๆ แล้ว เสียงเรียกเข้าเพลงนี้นั้น ผม "สงวนลิขสิทธิ์" ไว้ให้กับคนในครอบครัวเท่านั้น ซึ่งมีเพียง "สี่เบอร์" ที่จะมีเสียงเพลง นี้เล็ดลอดออกมาให้ผมได้ยินได้ เบอร์แรกก็คือ เบอร์ที่บ้านของผม เบอร์สองก็น้องชายผม เบอร์ที่สามก็เบอร์คุณพ่อ และเบอร์สุดท้ายก็คือ "หลานสาวสุดรักสุดหวง" คนเดียวของผม นั้นเอง อ้อ! เกือบลืม เดี๋ยวจะหาว่า "ละเมิดลิขสิทธิ์" ไม่ต้องห่วงนะครับ "อากู๋" ผมเสียเงิน ดาวน์โหลดเพลงนี้มาอย่าง "ถูกต้องตามกฎหมายทุกประการทั้งปวง" ครับ สบายใจได้เลย



"น้าทู...หนู "สอบไม่ติด" ค่ะ" เสียงปลายสายดังมาทันทีที่ผมกดรับสายด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ซึ่งผมคิดว่า "ไม่ใช่" สาเหตุจากคลื่นความถี่มีปัญหาอย่างแน่นอน มันเป็นเสียงสั่นจากอารมณ์ และความรู้สึกของหลานสาวในช่วงเวลานี้อย่างแน่นอน "อะไรนะ" ผมตอบกลับไปอย่างมึนงง "หนูสอบไม่ติด ไม่มีชื่อหนูเลย" เสียงของหลานสาวที่ส่งมาตามสายเริ่มที่จะสั่นเป็นจังหวะระรัว มากขึ้นกว่าครั้งแรก ความง่วงเหงาหาวนอนที่มีอยู่ภายในหัวของผมต่างพากัน "วงแตกแยกย้าย" สลายตัวไปจากหัวสมองโดยทันที หลังจากได้รับการยืนยันคำตอบจาก "หลานสาว" อีกครั้งหนึ่ง
..........
..........
..........
"ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เดี๋ยวน้าทูโทรหาน้าตี๋ก่อน ให้แม่เอ็งพากลับบ้านมาดีๆ นะ" ผมปลอบหลาน โดยที่ในหัวยัง "คิด" หาทางออกกับเรื่องนี้ไม่ได้เลย เมื่อวางสายแล้ว ผมรีบโทรหาน้องชายทันที "เออ..ว่าไง มีอะไรวะ" เสียงน้องชายของผมงัวเงียงึมงัมพึมพัมมาตามสายโทรศัพท์ "ไอ้เฟริสท์ "สอบไม่ติด" ว่ะ โทรหาเพื่อนเอ็งให้ "ช่วย" ได้มั๊ยวะ" ผมตอบกลับไปโดยทันที "อะไรนะ มันสอบไม่ติดเหรอเนี่ย" น้องชายคงมีอาการเดียวกับผม หลังจากที่ได้รับรู้เรื่องราว เนื่องจากครอบครัวของผมมี "หลานสาว" เป็นหลานคนแรก และมีเพียงแค่คนเดียวในตอนนี้ เนื่องจากผมและน้องชาย "บ่มีไก๊" เอ๊ย! ยังไม่มีน้ำยา อุ๊ย! ไม่มีครอบครัวเป็นของตัวเองนั่นเอง ซึ่งครอบครัวของพี่สาวผมมาประสบภาวะ "ล้มละลายในสถาบันครอบครัว" ทำให้ผมและพ่อแม่ รับ "หลานสาว" มาอยู่ในความดูแลเพื่อไม่ให้เป็น "เด็กมีปัญหา" และสร้างเรื่องปวดหัวให้แก่ สังคมที่ "ฟอนเฟะ" อยู่แล้วให้ "เละตุ้มเป๊ะ" กว่าที่เป็นอยู่โดยใช้ "ความรัก ห่วงใยดูแลเอาใจใส่" เป็นวัคซีนป้องกันโรค "ไข้หวัดเด็กมีปัญหา" ที่กำลังระบาดไปทั่วชุมชนสังคมเมืองไทยนั่นเอง



"ไหนมันบอกว่า "มั่นใจ" ทำข้อสอบได้ไงวะ" น้องชายผมถามคำถามกลับมาที่ผมอีกครั้ง "ไม่รู้สิ" ผมตอบไปตามความคิดของผมจริงๆ เพราะไม่สามารถรู้ว่า เพราะเหตุใด "หลานสาว" ผมถึงสอบเข้า ม.1 โรงเรียน "ใกล้บ้าน" ที่ไม่ใช่ "โรงเรียนมัธยมเกรดเอ" ที่ใครๆ ต่างพากัน กระเสือกกระสนทำทุกวิถีทางให้ลูกหลาน "มีรายชื่อ" ในนักเรียนที่สามารถสอบเข้าเรียนต่อได้
..........
..........
..........
ในตอนแรกพ่อของผมได้มาถามผมว่ามีคนรู้จักสามารถ "ฝาก" เข้าโรงเรียน "เลดี้-สตั๊ดดี้" ซึ่งเป็น "โรงเรียนเกรดเอ" ได้ (ถ้าอยากรู้ว่า เลดี้-สตัดดี้ คือโรงเรียนอะไร แปลเอาเองนะจ๊ะ) โดยเราต้องเตรียม "เงินฝาก" เข้าไปยังธนาคารในชื่อของ "สถานศึกษา" ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลก ในวงการธนาคาร นั่นคือ ธนาคารสถานศึกษานั้น "ฝากเงิน" แล้ว ดอกเบี้ยก็ไม่ได้ และไม่สามารถ ที่จะถอน "เงินฝาก" กลับคืนมาได้ ซึ่งก็หมายความว่า ฝากแล้วไม่รับคืนไม่ว่าจะกรณีใดๆ ก็ตาม ผมเอ่ยถามผมว่าเค้าให้เตรียม "เงินฝาก" เท่าไร พ่อผมบอกตัวเลขมาเล่นเอาผม "อึ้งกิมกี่" ไป ชั่วขณะ เพราะไม่เชื่อว่าการสอบเข้าโรงเรียนรัฐบาลที่มีชื่อเสียงนั้น จะมีค่ามีราคาได้ถึงขนาดนี้ ผมเคยอ่านหนังสือพิมพ์เห็นข่าวว่า "กระทรวงศึกษาฯ" รับประกันว่าจะไม่มี "แป๊ะเจี๊ยะ" ในปีนี้ สงสัยกระทรวงศึกษาฯ คงจะไป "ล้วงลูกกระทรวงเกษตรฯ" มากไปหน่อย ถึงได้ทำให้คนใหญ่ คนโตในกระทรวงศึกษาฯ "เอาหูไปนา เอาตาไปไร่" กับพฤติกรรม "เส้นๆ ฝากๆ แป๊ะๆ เจี๊ยะๆ" ที่ยังคงมีอยู่ในโรงเรียนดังๆ หรือกระทรวงคิดว่านี่คือ "โบนัส" ให้กับโรงเรียนเหล่านั้นก็เป็นได้


ผมคิดว่าผมตัดสินใจ "ถูก" ที่ให้หลานสาวสอบเข้าเรียนยังโรงเรียนใกล้บ้าน ที่เคยเป็นสถานที่ "ประสิทธิประสาทวิชา" ให้กับผม พี่สาว และน้องชาย ในสมัยเด็กๆ ทั้งครอบครัว ซึ่งโรงเรียนนี้ ถือว่า "ดีที่สุด" ในละแวกบ้าน และผมก็มีความ "มั่นใจ" อยู่ลึกๆ ว่าโรงเรียนแห่งนี้ คือ โรงเรียน ประจำตระกูล เรียนตั้งแต่ "แม่ น้า ยัน ลูกหลาน" อีกทั้งยังเชื่อใน "ความสามารถ" ของหลานสาว ว่า "สอบติด" โดยไม่ต้องใช้ "กำลังภายใน" อาศัยชื่อเสียงเก่าๆ ของผม ที่ทำให้กับโรงเรียนนี้ หรืออาศัยความสนิทชิดเชื้อกับอาจารย์ของ "น้องชาย" เบิกทาง หรือพูดง่ายๆ ว่า "ใช้เส้นสาย" เนื่องจากครอบครัวผมนั้น ไม่เคยคิดที่จะใช้วิธี "เส้นสาย" ให้มาเป็นพฤติกรรมที่เคยชินในชีวิต แต่แล้ววันนี้กลายเป็นว่าผมตัดสินใจ "ผิด" ที่ไม่ได้ช่วยเหลือ "หลานสาว" ทั้งๆ ที่สามารถทำได้ และนั่นก็ทำให้ผมเข้าใจว่าความ "มั่นใจ" ไม่สามารถเทียบได้กับคำว่า "ชัวร์" แม้แต่นิดเดียว
"เฮ้ย แม่เพื่อนบอกว่า ทำไมเพิ่งมาบอกตอนนี้วะ" น้องชายผมโทรกลับมาบอกข่าวอีกครั้ง "ก็คิดว่ามันทำได้น่ะสิวะ แล้วเค้าว่าไงล่ะ" ผมตอบน้องชาย พร้อมกับตั้งคำถามกลับ "เค้าให้วัดดวง "จับฉลาก" ว่ะ แม่เพื่อนมัน "ฝาก" เต็มโควต้าแล้ว" น้องผมตอบมาอีกครั้ง "อืมม์..." ผมรู้สึกพูดไม่ออกไปชั่วครู่หนึ่ง ไม่น่าเชื่อเลยว่า "โรงเรียน" ที่ผมศึกษามาในสมัยเด็ก ก็ได้รับกรรมวิธีการ "วัฒนธรรมฝากเงิน" มาจาก "โรงเรียนเกรดเอ" ไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว "ยังไงถ้าไม่ได้ ก็ให้มันเรียน "เอกชน" แถวๆ บ้านก็ได้ ไม่ต้องคิดมากหรอกว่ะ" น้องชายผมกล่าว ประโยคนี้ออกมา ซึ่งตัวผมคิดว่าน่าจะเป็นการ "ปลอบใจ" กันเองระหว่างน้าชายทั้งสองคน "เออ ว่างั้นแหละ แต่งานนี้ สงสารแต่ "ไอ้เฟริสท์" มันว่ะ" ผมตอบกลับน้องชายไปอีกครั้ง "หึ หึ หึ เดี๋ยวเย็นๆ ลองโทรหาแม่เพื่อนดูอีกที ได้เรื่องยังไงจะโทรมาบอกแล้วกัน แค่นี้ก่อนโว้ย" เจ้าน้องชายผมตัดบทวางสาย ซึ่งผมเองรับรู้ได้ว่า น้องชายของผมนั้นมี "ความรักและความ ห่วงใย" ต่อหลานสาวคนนี้ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าสมาชิกคนใดในครอบครัวของผมเลย


หลังจากวางสายน้องชายแล้ว ผมกลับมานั่งคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าที่ผ่านมา ได้แต่ตั้งคำถามในใจว่า "ทำไม...?" โรงเรียนรัฐบาลในละแวกบ้านมี "มากมาย" หลายโรงเรียน ถึงไม่สามารถมี "คุณภาพในการเรียนการสอน" เท่าเทียมกันทุกโรงเรียน ถึงได้ทำให้ "นักเรียน" แห่แหนกันไปสอบเข้าแค่เพียง "โรงเรียนเก่า" ของผมเพียงแห่งเดียว ทั้งๆ ที่รัศมีของสถานที่ ตั้งบางโรงเรียนใกล้บ้านกว่าโรงเรียนเก่าของผมอีก "การจัดการ" กระจาย "คุณภาพการศึกษา" ของกระทรวงที่รับผิดชอบโดยตรงอยู่ที่ไหนหรือ โรงเรียนที่ดีก็ดีสุดโต่ง ที่แย่ก็แย่สุด "TEEN" หน่วยงานที่วัดผล และปรับปรุงโครงสร้างทางการศึกษามีหน้าที่ "กินก๋วยเตี๋ยวในช่วงตอนเช้า กับตอนเย็น" หรือที่เรียกกันว่า "เช้าชาม-เย็นขาม" แค่นั้นหรือ ผมอดคิดไม่ได้ว่า "เด็กๆ" ที่ประสบ "ชะตากรรม" เดียวกับหลานสาวผมที่ "สอบไม่ติด" จะมี "อนาคตทางการศึกษา" เป็นอย่างไร
หลานสาวผมนั้น อาจจะมี "ทางเลือก" ที่ไปเรียนต่อ "โรงเรียนเอกชน" ดีๆ สักที่หนึ่ง ซึ่งคง เป็นการศึกษาที่มีการ "ลงทุน" สูงกว่าโรงเรียนรัฐบาล แต่ถ้าให้เลือกไปเรียน "โรงเรียนรัฐบาล" ที่ด้อย "คุณภาพทางการศึกษา" แล้ว ผมขอเลือก "เสียทรัพย์" เพื่อแลก "วิชา" ให้กับหลานสาว เสียดีกว่า เพราะสุภาษิตก็บอกไว้แล้วว่า "มีวิชาเหมือนมีทรัพย์อยู่นับแสน" หรือว่าไม่จริงครับ


ผมเป็นห่วงพวกเด็กๆ ที่ฐานะของครอบครัวไม่มี "กำลัง" ส่งเข้าไปเรียนยังสถานศึกษาดีๆ ได้ การพัฒนาทางการศึกษาของพวกเขาจะเป็นเช่นไร ต้องจมปลักกับการเรียนการสอนแบบ "ห่วยๆ" ไปอีกถึงเมื่อไหร่ แล้วอนาคตข้างหน้าเขาจะสามารถแข่งขันกับบรรดา "นักเรียน" ที่มาจากสถาน ศึกษาดีๆ ได้หรือไม่ ถึงตอนนี้อาจจะมีคนแย้งว่าผมกำลัง "ดูถูก" โรงเรียนเหล่านั้นมากเกินไปหน่อย ผมคิดว่าเราต้อง "ยอมรับ" ว่าเกิด "ปัญหา" เรื่องคุณภาพในสถานศึกษาที่เรียกว่า "โรงเรียน" จริงๆ ผมไม่เชื่อว่า "ทุกโรงเรียน" จะมีการเรียนการสอนเหมือนกันหมด เพราะถ้าเป็นเช่นนี้ ผมคงจะไม่เห็น "ภาพข่าว" นักเรียนแห่กันไปสอบโรงเรียนชื่อดังเป็น "เรือนหมื่น" โดยที่รับได้เพียง "พันต้นๆ" ซึ่ง ผมก็ไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่า จากพันต้นๆ ลบด้วย "เงินฝาก" จะเหลือ "สอบเข้า" จำนวนจริงอยู่เท่าไร
..........
...........
..........
สุดท้ายนี้ ผมก็อยากจะให้ความคิดของผมได้ล่องลอยไปยัง "กระทรวงศึกษาธิการ" เผื่อจะมี "ปาฏิหาริย์" ครั้งใหญ่กับการศึกษาไทยภายในอนาคตที่จะมีการศึกษาที่เท่าเทียมกัน หากจะลดหลั่น ก็ขอให้ลดหลั่นกันที่ไม่แตกต่างกันราว "ฟ้ากับเหว" อย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้ แล้วก็อยากจะให้ระบบ "วัฒนธรรมเส้นสายและเงินฝาก" สลายไปจากสถาบันการศึกษาในทุกๆโรงเรียนในประเทศไทย เพราะอะไรรู้ไหมครับ ผมเชื่อใน "กงกรรม-กงเกวียน" น่ะสิครับ ผมเชื่อว่าคนที่ "ลงทุน" เข้าไป โดยใช้ "เส้นสายและเงินฝาก" แล้วในอนาคตเมื่อเขามีหน้าที่การงานที่ "มีอำนาจ" ในการคัดเลือก เด็กนักเรียนเข้า "ศึกษา" ในสถานศึกษาชื่อดังเหล่านั้นได้...คุณคิดเหมือนกับผมบ้างไหมว่า
..........
..........
..........
...........
..........
งานนี้มี..."ถอนทุน"...คืนอย่างแน่นอน

ปัจฉิมลิขิต : ขอบพระคุณภาพ-เสียง จากอินเตอร์เนท ขอบคุณคร๊าบ

ใช้ "สุขา" อย่าง "สุขี" ฟังทางนี้นะจ๊ะ





สวัสดีนะจ๊ะ "มิตรรักนักเลง อุ๊ย! นักเพลง" ของ "คุณอาปุ้มปุ้ย" คุณอาหายหน้า หายตา หายหัว ไปเสียน๊าน นาน ไม่รู้ว่ามีคนคิดถึงกัน บ้างมั๊ยน๊อ สำหรับคุณอาแล้วคิดถึงมิตรรักนักเพลงทุกคนจริงๆ นะเนี่ย ตอนนี้ "ภารกิจ" หาหลานเข้าโรงเรียนของอีตาเตี้ยก็ "สำมะเหร็ดเสร็จกิจ" เป็นที่เรียบร้อย คุณอาคิดว่าจะ "ผึ่งพุงยาวๆ" รับเทศกาล "สงกรานต์" ที่ไหนได้ล่ะจ๊ะ คุณพี่ "ปื๊ดศักดิ์ ณ บางบอน" ที่ปรึกษาส่วนตัวคุณน้องเลขา "วัน ณ บางบอน" เจ้าของตำแหน่ง "มิสสะเต่อ ถ๊อย "ถ่อย" เอ๊ย! ถ๊อยเหล็ด" ที่เคารพรักยิ่งน่ะสิจ๊ะ พี่ปื๊ดมา "ขอร้องแกมบังคับ" ให้คุณอาตีฆ้องร้องป่าว "รณรงค์การใช้สุขาอย่างสุขี" ช่วยแกอีกช่องทางหนึ่ง คุณอาเป็นคนไม่ชอบ ขัดใจใครอยู่แล้ว ก็เลยได้รับตำแหน่ง "ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ของที่ปรึกษาของ เลขาสาธารณสุข" อย่างไม่ได้ตั้งใจเลยเชียว เอาน่ะ "คนฝั่งธน" ก็ช่วยๆ กันไป

ตอนแรกคุณอาว่าจะไปเดินสายช่วยรณรงค์ตาม "ห้องน้ำห้องท่า" ทุกสถานีขนส่ง ตาม "น้องวัน" เค้า บังเอิ๊ญ บังเอิญ คุณอา "พองลม" ไม่ได้เหมือนลิ่วล้อน้องวัน "พี่ปื๊ด" แกก็เลยแนะนำให้คุณอาไปรณรงค์ที่อื่น คุณอาก็นั่งคิดนอนคิดมาสองวัน ก็เกิดความคิดว่า "สุขา" ภายในเมืองหลวงของเรา โดยเฉพาะ "ที่เที่ยวกลางคืน" ตาม ทองหล่อ แอนด์ รัชดา พระรามเก้า ยังไม่มีใครมารณรงค์โครงการนี้บ้างเลย ทั้งๆ ที่จริงแล้ว "สุขา" ย่านนี้ไม่ค่อยจะ "สุขี" เท่าไร ก็เลยร่างข้อกำหนดกฎเกณฑ์ ในการเข้า "สุขา" ให้ "สุขี" ในที่เที่ยว ให้ "พี่ปื๊ด" แกนำเสนอให้ "น้องวัน" อนุมัติ เชื่อมั๊ยจ๊ะว่า ตดยังไม่ทันหายเหม็น "น้องวัน" แกอนุมัติเป็นที่เรียบร้อยช้อยเก็บฉาก คุณอาล่ะภูมิใจจริงๆ เลย ทำให้คุณอาต้องมาเล่าแจ้งแถลงไขให้ "มิตรรักนักเพลง" ได้รับรู้ถึงวิธีการ "เข้าสุขาให้สุขีในที่เที่ยว" ทราบเป็นกลุ่มแรกๆ เลยนะจ๊ะเนี่ย ตั้งใจฟัง เอ๊ย! อ่านและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดนะจ๊ะ เด็กๆ นักเที่ยวทั้งหลาย


ข้อ ๑. เมื่อเข้า "สุขา" จงใช้สายตาก้มลงมองไปที่ "พื้นดิน" อย่างเคร่งครัด เนื่องจากอาจเกิดเหตุการณ์ "เหยียบตาปลา" ขาใหญ่ ขาเยอะ โดยมิได้เจตนาได้

ข้อ ๒. หากก้มลงมองพื้นดิน แล้วเมื่อยลูกตาเวลาเข้า "สุขา" อนุญาตให้มองมายัง บรรยากาศโดยรอบได้ชั่วคราว ห้ามสอดส่ายสายตาไปมาโดยไม่จำเป็น ยกเว้นเพียง ผู้เข้า "สุขา" สามารถทำตา "ไม่สามัคคี" ได้ เนื่องจาก ขาใหญ่ ขาเยอะ ไม่สามารถ ทราบได้ว่า ผู้เข้า "สุขา" มองหน้าหาเรื่อง หรือ มองดูภาพข้างฝาห้องน้ำ

ข้อ ๓. อย่าพยายามมองหน้าใครภายใน "สุขา" มิเช่นนั้น คุณอาจจำต้องเล่นเกมส์ "คำถามพาโชค" โดยไม่ทันตั้งตัว ซึ่งจะมีคำถาม "อภิมหาอมตะนิรันดร์กาล" ว่า "Are you know my "FATHER"..?? โดยมี "ตัวช่วย" รอบข้างมากมาย คอยแจกขนม "ตุ๊บ...ตั๊บ" ให้แก่ผู้ตอบคำถามไม่น้อยกว่าห้าคน ก่อนที่จะได้อ้าปากตอบ หากผู้เข้า "สุขา" โชคดีมากถึง มากที่สุด อาจได้รับคำถามเดิม แต่ได้รับรางวัล "แจ็คพอต" เป็น "ลูกตะกั่วฝังเพชร เอ๊ย! ฝังตามร่างกาย" เป็นรางวัลสูงสุด

ข้อ ๔. จงใส่ "แพมเพอร์" ขณะเที่ยวกลางคืน ก็จะ "สุขี" โดยไม่ต้องพึ่ง "สุขา"


เป็นยังไงกันบ้างล่ะจ๊ะ คุณอาหวังว่า มิตรรักนักอ่านที่ไม่มีโปรแกรมไป "ตอจอวอ" และวางแผนเที่ยวกลางคืนใน "กอทอมอ" ย่าน "ลูกมอทอหนึ่งเที่ยว" ได้รับวิธีการ เข้าสุขาอย่างสุขี ที่ถูกวิธีกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะจ๊ะ คุณอาก็คงต้องขอตัวไป "คุก" เอ๊ย! "ผึ่งพุงสบายๆ ให้คลายร้อน" ก่อนนะจ๊ะ พบกันใหม่หลังวันสงการนต์ นะต๊ะเอ๋ง

อุ๊ย! คุณอาเกือบลืมซะแล้ว มิตรรักนักอ่านจ๊ะ "สงกรานต์" นี้ ก็ขอให้เล่นกันพอ "หอมปาก หอมคอ" เอ๊ย! ไม่ได้สิจ๊ะ เดี๋ยว "เยาวชน" ที่น่ารักยิ่งของคุณอาอ่านแล้ว ไปตีความว่าให้เล่นสงกรานต์กัน แล้วเข้าไป "หอมปาก หอมคอสาวๆ" ล่ะ ยุ่งตายเลย เล่นกันพอสมควรนะจ๊ะ คุณอาเป็นห่วง "บิลค่าน้ำ" ปลายเดือน ของมิตรรักนักอ่าน นะจะบอกให้ คุณอาไปแล้วจริงๆ จ๊ะ "เมาไม่ขับ" ด้วยนะจ๊ะทุกคน รักนะ จุ๊บ จุ๊บ

คำคมวันนี้ (ของฝากนักเที่ยว)

"เข้า "สุขา" อย่าง "สุขี"...อั้น "ขี้" อั้น "เยี่ยว" ใน "ที่เที่ยว"

เก็บไว้ไป "เต็มเหนี่ยว" ที่ "สุขาบ้านตัวเอง" สิจ๊ะ"

ขอขอบพระคุณ "พี่ปื๊ดศักดิ์ ณ ทอรัส" ผู้มอบคำคมวันนี้ด้วยจ๊ะ

ขอบพระคุณภาพจาก ผู้จัดการออนไลน์ เสียงจากอินเตอร์เนท นะจ๊ะ

"มานี-ชูใจ ๒๕๕๑"




"ลุงคะ ไปโรบินสันรัชดาฯ ไหมคะ" เป็นเสียงของหญิงสาวคนหนึ่ง ที่เพิ่งออกมาจากสถานีรถไฟหัวลำโพง แล้วดิ่งมายังรถ taxi ที่จอดอยู่บริเวณด้านหน้าสถานี เพื่อที่จะบอกจุดหมายปลายทางที่เธอต้องการจะไป

"ไปครับ" ชายวัยกลางคนที่นั่งทอดอารมณ์อยู่ในรถ taxi กลางเก่ากลางใหม่ตอบตกลง แล้วกุลีกุจอเปิดท้ายรถเพื่อเก็บข้าวของจากสองมือที่หญิงสาวผู้นั้นหอบมาพะรุงพะรัง มีทั้งชะลอมใส่ผลไม้ต่างๆ และลังใส่ของ 2 ใบ ซึ่งจากการคาดคะเน น่าจะมีน้ำหนักที่ค่อนข้างหนักอยู่ไม่ใช่น้อย

"น่าจะเป็นของฝากจากบ้านนอก" ชายวัยกลางคนคิดในใจ ขณะกำลังยกของใส่ท้ายรถโดยมีหญิงสาวคอยช่วยอยู่ข้างๆ เมื่อจัดการเรียบร้อยแล้ว รถคันนั้นก็ได้ออกเดินทางไปยังจุดหมายที่หญิงสาวต้องการจะไป.....


"เข้ากรุงเทพฯ มาทำอะไรหรือหนู" เป็นเสียงเริ่มต้นการสนทนา จากคนขับแท็กซี่ เนื่องจากการจราจรในยามเย็นวันศุกร์สุดสัปดาห์ ของเมืองหลวงที่ขึ้นชื่อว่าเป็น "เมืองฟ้าเมืองอมร" นั้น "รถติด...เป็นเรื่องธรรมชาติ" การพูดคุยกับผู้โดยสารนั้น น่าจะทำให้เกิดบรรยากาศภายในรถดีขึ้น ไม่เป็นการอึดอัดทั้งสองฝ่าย

"มาหาเพื่อนค่ะ" เสียงของหญิงสาวที่ด้านหลังคนขับตอบกลับมา

"ปิดเทอมแล้ว หนูเรียนจบพอดีด้วย เพื่อนเค้าเลยชวนมาเที่ยวกรุงเทพฯ เราไม่ได้เจอกันนานแล้วล่ะค่ะ" หญิงสาวเริ่มพูดคุยกับคนขับรถมากขึ้น

"อ๋อ แล้วไปทำอะไรที่รัชดาฯ ล่ะหนู" คนขับรถถาม

"เพื่อนเค้านัดเจอที่ร้านอะไรนะ แม็ก แม็กอะไรสักอย่างล่ะค่ะ ลุงรู้จักไหมคะ"

"แมคโดนัลด์ หรือเปล่าหนู" คนขับรถตอบกลับ

"ใช่แล้วค่ะ ลุงช่วยไปส่งหนูหน่อยนะคะ หนูเพิ่งเคยเข้ากรุงเทพฯ ครั้งแรก" เป็นเสียงขอร้องของหญิงสาว

"หึ หึ ได้ ได้ เรามันคนบ้านนอกเหมือนกันหนูเอ้ย " คนขับรถรับคำ

เมื่อมาถึงที่นัดหมาย คุณลุงคนขับก็ช่วยขนของลงจากท้ายรถและบอกสถานที่ให้แก่หญิงสาวว่า "แมคโดนัลด์" อยู่ที่ไหน หญิงสาวกล่าวขอบคุณ และหอบข้าวหอบของไปยังสถานที่ที่คุณลุงบอกเป็นร้านอาหารที่แปลกตาสำหรับเธอ กว้างใหญ่ ผู้คนจอแจ แต่งกายแปลกๆ ไม่เหมือนร้านอาโก ประจำหมู่บ้านของเธอเลย แม้แต่สักนิดเดียว เมื่อเธอเดินเข้ามาภายในร้าน แทบจะทุกสายตาในร้านจ้องมองมาที่เธอ เธอเดินงกๆ เงิ่นๆ อยู่สักพัก ก็มีมือมาสัมผัสที่ไหล่เธอเบาๆ

"...ชูใจ ใช่ ชูใจ หรือเปล่าเค๊อะ คริ คริ อิ อิ หุ หุ..."

เธอหันกลับไป พบกับหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ หน้าตาคุ้นมาก แต่...เส้นผมของเธอ ช่างเหมือนกับสายไหมสี ที่ใช้ใส่โรตีเหลือเกิน มีทั้งสีทอง สีชมพู สีเขียวสด และใส่เสื้อที่ดูแล้วอึดอัดอกอึดอัดใจ เหมือนกับว่าเลือกซื้อเสื้อมาผิดขนาด กระโปรงไม่ต้องพูดถึง จากการคาดคะเนด้วยสายตา ความยาวของกระโปรงไม่น่าจะเกิน 2 คืบ และมีการแต่งหน้าแต่งตาคล้ายคลึงกับนางเอกงิ้วที่เคยมาแสดงที่ศาลเจ้าประจำหมู่บ้านเธอเลยทีเดียว เมื่อเธอเพ่งมองดูสักพัก แล้วอุทานออกมาว่า

"มานี...ใช่ มานีหรือเปล่าจ๊ะ"

"ตายแล้ว...ชูลี่ ทำไมตัวเองเรียกเค้าอย่างนี้เนี่ย ไม่เอานะเค๊อะ เค้าเปลี่ยนชื่อเป็น "มินนี่" แล้วนะ ห้ามเรียก มานี นะ คริ คริ หุ หุ อิ อิ..." หญิงสาวตอบกลับชูใจ พร้อมทำหน้าตาที่ชูใจไม่เข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นทำแก้มป้อง ขมวดคิ้ว แลบลิ้น และเหลือกตา พร้อมกับส่ายหัวไปมาเวลาพูดคุยกับเธอ นี่ยังไม่รวมสำเนียง "คริ คริ อิ อิ หุ หุ" ที่เธอไม่เข้าใจว่ามันแปลว่าอะไร

"จ๊ะ จ๊ะ มานี เอ้ย มินนี่" ชูใจรับคำ

"ไปนั่งที่โต๊ะโน้นก่อนนะเค๊อะ เด๋วเค้าไปหาดริ๊งมาให้ดื่ม แล้วดูสิเนี่ย ตัวเอ๊ง หอบของอะไรกันมายะเธอ ยังกับย้ายบ้านมานะหล่อน คริ คริ หุ หุ อิ อิ"

"ของฝากจากทางบ้านน่ะจ้ะ ทางโน้นเขาให้ฉันเอามาฝากเธอ ฝากปิติ พี่มานะ แล้วก็พี่วีระ ด้วยน่ะ" ชูใจตอบ

"ตายแย้ว เค้าลืมบอกนะเค๊อะ ตาปิติน่ะ เค้าเปลี่ยนชื่อเป็น "ปีเตอร์" แล้วนะยะหล่อน ส่วนเจ๊ เอ๊ย พี่มานะน่ะ เค้าชื่อ "แมนนี่" พี่วีระก็เป็น "วิลลี่" ห้ามเรียกชื่อเก่านะเค๊อะ คริ คริ หุ หุ อิ อิ" มานีพูดกับ ชูใจพร้อมกับนำเครื่องดื่มมาให้เธอที่โต๊ะ

"แล้วพวกเขาจะมาเมื่อไหร่ เหรอจ๊ะ มินนี่" คราวนี้ชูใจเรียกชื่อเธอไม่ผิด

"เด๋วก็มามั้งเค๊อะ หุ หุ ชูลี่มาถ่ายรูปกับเค้าเป็นที่ระลึกดีก่า นะ นะ อิ อิ คริ คริ" แล้วมานีก็หยิบวัสดุสี่เหลี่ยมคล้ายโทรศัพท์ แต่ดูไปดูมาก็คล้ายกล้องถ่ายรูป แล้วเบียดเข้ามานั่งใกล้ๆ ตัวเธอ ระหว่างที่ถ่ายรูปกันอยู่ ชูใจได้สังเกตเห็นตอนที่มานีเปลี่ยนอิริยาบถระหว่างถ่ายรูปนั้น มานีไม่ได้ใส่ "กางเกงใน" เธอจึงรีบกระซิบบอกกับเพื่อนสนิทในวัยเด็กของเธอว่า

"มินนี่จ๊ะ เธอลืมใส่กางเกงในหรือเปล่าจ๊ะ"

"ต๊าย ตาย เชยจังเยย ชูลี่ เนี่ย ไม่ทันสะหมอ... เอ๊ย ทันสะหมัยเยยนะยะ ตอนนี้ เค้า อินเทรนด์ นะเค๊อะ หล่อน หุ หุ เด๋วว่างๆ เค้าจะไปทำสี ให้ แมทช์ กับ ผมเข้าอยู่เนี่ยตัว อิ อิ คริ คริ" มานีตอบกลับ ชูใจ พร้อมกับตั้งใจทำท่าทางประหลาดๆ กับเจ้ากล้องถ่ายรูปต่อไป


"ว่าไง...ทรงผมใหม่ จี๊ดมั๊ย เจ๊มินนี่...อ๊ากซ์ พาสาวไหนมาด้วยเนี่ย ว่างัยน้องสาวววว" เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นมา ระหว่างที่เธอนั่งมองดูพฤติกรรมของมานีอยู่เงียบๆ ชูใจหันไปมอง หน้าตาเหมือนคนคุ้นเคย แต่แตกต่างที่ทรงผมที่ดูเหมือนกับ ถูกหนูแทะเป็นหย่อมๆ และสีสันก็ไม่แตกต่างกับผมของมานีสักเท่าไหร่ ชูใจสังเกตที่จมูกของชายหนุ่ม ช่างคล้ายกับการ "สนตะพาย" ที่จมูกของเจ้าทุย ในท้องนาของบ้านเธอเสียเหลือเกิน มีการเขียนขอบตา ขอบปากให้เป็นสีดำ ใส่เสื้อเชิ๊ตรัดรูปสีมอซอ สิ่งที่ชูใจสะดุดตาที่สุดนั่นคือ "กางเกง" ของเขา ชูใจอดคิดไม่ได้ว่า ถ้า...วันหนึ่ง ระบบขับถ่ายของร่างกายเขาเกิดการรั่วไหลอย่างฉับพลันขึ้นมา เขาจะมีความสามารถถอดกางเกงได้ทันเวลาไหม???

"ชูใจ งัยยะ ตาปีเตอร์ ทำเป็นจำเพื่อนเก่าไม่ได้ แม๋ แม๋ เล่นกัดสีผมเหมือนชั้นเยยนะยะ อินเทรนด์นะตัวเนี่ย คริ คริ หุ หุ อิ อิ"

"ปิติ เอ้ย ปีเตอร์ หรือจ๊ะ สบายดีมั๊ย ย่าเค้าฝากของมาฝากเต็มเลยนะ" ชูใจกล่าวพร้อมกับสาละวนค้นหาของที่ย่าของปิติไหว้วานนำมาให้กับหลานชายสุดที่รัก มีทั้ง ปลาแห้ง ผลไม้นานาชนิด ที่ย่าคิดว่าหลานโปรดปรานที่สุด

"พอเลย เจ๊ พอเลย ไม่อ็าว อ๊ากซ์ "รีโทรเลี่ยน" ไม่ถือลัง ถือชะลอมกลับอพาร์ทเมนท์ ไม่เอา ยกให้เจ๊เค้าแล้วกัน อ๊ากซ์..."

"เค้าก็ม่ายอาวนะเค๊อะ ยกให้ชูลี่หมดเลยนะเค๊อะ หุ หุ" มานีก็ไม่ยอมรับ

ชูใจได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของเพื่อนสนิทของเธอ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรดี จะกลับไปบอกกับคนที่หมู่บ้านว่าอย่างไร ระหว่างที่เธอกำลังคิดหาคำตอบอยู่นั้น ก็พบกับชายหนุ่ม 2 คนที่เดิน "ควงคู่" กันมาจริงๆ และตรงมาที่โต๊ะเธอ

"ว่ายังไงยะยัยมินนี่ หล่อนนัดฉันกับวิลลี่มาเนี่ย ทำไมยะ" เสียงของชายหนุ่มดังขึ้น สำเนียงค่อนข้างกระเดียดไปทางตุ้งติ้งเสียมากกว่า

"หุ หุ คริ คริ ใจเย็นเจ๊แมนนี่ ดูสิใครมา" เสียงมานีเย้าแหยพี่ชายหัวใจสาวของเธอ

"ต๊าย ตาย พระเจ้าช่วย...กล้วยทอด ชูใจ ไปไงมาไงจ๊ะหล่อน"

"มาเยี่ยม มินนี่ กับพวกพี่ๆ แหละค่ะ" ชูใจตอบ

"ย๊ากซ์ แล้วเจ๊ไปไหนมา บอกเด็กเรโทร ได้มั๊ย" เสียงปิติแทรกมา

"นัดวิลลี่เค้าดูหนังย่ะหล่อน ดูเสร็จฉันก็รีบสะบัดตูดมาเนี่ยล่ะ" พี่มานะพูดพร้อมกับส่งสายตามองไปทาง พี่วีระอย่างหวานซึ้งอยู่เป็นระยะๆ

"ดูหนังไรมาเจ๊ อย่าบอกว่าดู หนังไทย นะ เด็กเรโทรเลี่ยน รับไม่ได้ ย๊ากซ์" ปิติพูดพร้อมทั้งทำท่าทางสะอิดสะเอียนหนังไทยสุดๆ ทั้งๆ ที่ตอนเด็กๆ นั้นปิติชอบหนีไปดูหนังกลางแปลงที่คนขายยานำมาฉายที่ท้ายหมู่บ้านอย่างเป็นที่สุด

"หนังไทยย่ะ ทำไม ดูไม่ได้หรือยังไงยะ" มานะตอบพร้อมทำท่าปะหลับปะเหลือก

"ดูเรื่องอะไร มาเค๊อะ หุ หุ" เสียงมานีถามสองชายหนุ่ม หันมามองหน้ากันอย่างสุดซึ้ง แล้วตอบคำถามแทบจะพร้อมกันว่า

"...เพื่อน...กูรักมึงว่ะ..." แล้วโน้มตัวเข้าหากันจนแทบจะปากชนปาก

"พอ เจ๊ พอ เด็กเรโทร จาอ๊วก แหวะ ย๊ากซ์ " ปิติปรามให้สองชายตื่นจากภวังค์

หลังจากสนทนากันได้สักพัก พี่มานะกับพี่วีระก็ขอตัวไปฟิตเนสแถวสีลมต่อ ส่วนปิติก็ได้บอกกับ ชูใจและมานีว่า

"เจ๊ เด๋ว เด็กเรโทร ขอตัวไปลองรถก่อนน่ะเจ๊ วันนี้วันศุกร์ สก๊อยเพียบ เพ่งโมมาใหม่ ต้องไปร่อนรถหาสาวสักหน่อย ย๊ากซ์"

"ต๊าย ครั้งที่แล้วก็แพ้เค้ามา เสียทั้งรถ ทั้งสก๊อยม่ายช่ายเหยอ คริ คริ แล้วปายหารถใหม่จากไหนเค๊อะ หุ หุ" มานีถาม

"แซงค์มาใหม่ ม่ายเห็นยากเลยเจ๊ แถวตลาดนัดรถที่จอดๆ ของเราทั้งนั้น เลือกเอาเลย ย๊ากซ์ วิชาเราเยอะ" ปิติตอบพร้อมทำหน้าเจ้าเล่ห์

"ต๊าย จะไปไหนก็ไปเถอะ เค้าไม่ไปหรอก นัดป๋าไว้ที่ อา ซี เอ ชูใจละไปมั๊ยเค๊อะ เดี๋ยวไปนอนค้างที่คอนโดเค้า พรุ่งนี้ค่อยกลับ สบ๊าย สบาย หุ หุ อิ อิ" มานีถามชูใจ

"ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ เดี๋ยวเรากลับรถไฟได้ ถึงหมู่บ้านก็เช้าพอดี เกรงใจน่ะ" ชูใจตอบมานี ทั้งที่จริงแล้วชูใจอยากจะมานอนค้างกับมานีเพื่อนที่สนิทที่สุด อยากจะคุยด้วยกันทั้งคืน ถามสารทุกข์สุขดิบ แต่ตอนนี้ มานี ได้กลายเป็น มินนี่ ที่เธอไม่เคยรู้จักนิสัยใจคอที่แท้จริงไปแล้ว

"เค้าตามใจตัวเองแย้วกาน เอาของฝากกลับไปด้วยนะเค๊อะ เค้ายกให้ คริ คริ" มานีตอบชูใจ พร้อมกับต่อโทรศัพท์หาใครบางคน "อะโห อะโห โย๋ ป๋า เรอะเค๊อะ...."

ส่วนปิติก็จากไปก่อนหน้านั้น พร้อมกับเสียงแผดร้องของท่อรถมอเตอร์ไซด์ของเขาที่คำรามดังก้อง แข่งกับเสียงชื่นชมไปถึงบรรพบุรุษของปิติ ที่ออกมาจากปากคนในละแวกนั้น......


ระหว่างที่ชูใจนั่งรถไฟกลับหมู่บ้าน เธอหวนคิดถึงอดีต

....................

....................

ถ้า...มานี ไม่ตามพี่มานะกับพี่วีระ มาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ แล้วเรียนที่มหาวิทยาลัยประจำจังหวัด ป่านนี้เราสองคนคงจะเรียนจบพร้อมๆ กัน และมานีคงไม่เปลี่ยนไปถึงขนาดนี้ เราสองคนยังคงไปเที่ยวที่ นาอา ไม่ใช่ "อาร์ ซี เอ" และพากันไปดูปู ดูงู ในนา ไม่ใช่ ไปเจอ งู ที่อยู่บนหัวบรรดาเสี่ยกระเป๋าหนักที่มานีพร้อมจะพาพวกนั้น ไปดู "รู" มานี กันสองต่อสอง ที่คอนโดของเธอ

ถ้า...ปิติ ไม่คิดมาศึกษาวิชาช่างยนต์ที่กรุงเทพ เพื่อไปเปิดอู่ซ่อมรถประจำหมู่บ้าน ปิติก็ยังคงเป็นหลานชายผู้น่ารักของย่า ที่ชอบกินปลานิลตากแห้งฝีมือย่าอยู่เสมอ แล้วก็คง ขี่ เจ้าแก่ ไปตามทุ่งนา ทักทายผู้คนในหมู่บ้านอย่างเป็นกันเอง ไม่ใช่ ปิติ ที่ขี่เครื่องยนต์เนื้อหุ้มเหล็ก สร้างความเดือดร้อนให้ผู้คนบนท้องถนนเมืองกรุง และมีเสียงสาปแช่งไปถึงบรรพบุรุษของตัวปิติเอง

ส่วน...พี่มานะกับพี่วีระ ถ้าไม่มาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ ไม่รับวัฒนธรรมแปลกๆ ก็ยังคงรักษามิตรภาพในความเป็นเพื่อน เหมือนเมื่อสมัยเด็ก ไม่ใช่ "มิตรภาพที่เกินเลย" ที่ออกตามหน้าจอทีวี อย่างที่เห็นที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้

ชูใจตั้งใจว่า...ตราบใด ที่เธอยังเห็น "สีเทา" เป็นแมวที่น่ารักกว่า "แมวสีชมพู หัวโต ไม่มีปาก" เธอจะไม่มีทางหลงไปกับวัฒนธรรมประหลาดๆ ของเมืองหลวง และไม่คิดมาศึกษา หาความศิวิไลซ์ อะไรเพิ่มเติมจากที่นี อย่างเด็ดขาด

"ลาก่อน...มานี...ลาก่อน...ปิติ ลาก่อน...พี่มานะ...ลาก่อน...พี่วีระ" เป็นเสียงละเมอของหญิงสาวคนหนึ่ง...เมื่อยามใกล้รุ่ง บนรถไฟขบวนหนึ่ง ที่กำลังแล่นกลับสู่มาตุภูมิของเธอ

....................

....................

.....................

......................

.......................


(ปัจฉิมลิขิต : ขอบคุณท่านผู้คิดแบบเรียน มานี ชูใจ ที่อบร่มบ่มนิสัยของผมเมื่อตอนเป็นเด็ก)

หลักเกณฑ์การตั้งชื่อ

หลักเกณฑ์การตั้งชื่อ
การตั้งชื่อเพื่อให้เกิดสิริมงคลแก่เจ้าของชื่อ จึงต้องมีการเลือกใช้อักขระ พยัญชนะ ตามที่
ผู้รู้กำหนดไว้ว่าเป็นมงคล เพราะวันที่เราเกิด แต่ละวันนั้น จะใช้สระและพยัญชนะไม่เหมือนกัน
ซึ่งบางตัวอาจเป็นกาลกิณีต่อวันเกิดของคน ๆ นั้นก็ได้

ตามเกณฑ์ทางโหราศาสตร์ จึงใคร่ขอคำแนะนำ หลักเกณฑ์ตามลักษณะวันดี ดังต่อไปนี้ วันอาทิตย์ อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ
วันจันทร์ ก ข ค ฆ ง
วันอังคาร จ ฉ ช ซ ฌ ญ
วันพุธกลางวัน ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ
วันพฤหัสบดี บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ ม
วันศุกร์ ศ ษ ส ห ฬ ฮ
วันเสาร์ ค ต ถ ท ธ น
วันพุธกลางคืน ย ร ล

สำหรับอักษรที่ห้ามนำมาใช้ตั้งชื่อนั้น ในที่นี้จะแนะนำว่าอักษรหมวดไหนควรหรือไม่ควรกับวันใดบ้าง ดังนี้ วันอาทิตย์ ศ ษ ส ห ฬ ฮ
วันจันทร์ อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ
วันอังคาร ก ข ค ฆ ง
วันพุธกลางวัน จ ฉ ช ซ ฌ ญ
วันพฤหัสบดี ด ต ถ ท ธ น
วันศุกร์ ย ร ล ว
วันเสาร์ ฎ ฎ ฐ ธ ฒ ณ
วันพุธกลางคืน บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ ม

ตัวอย่างชื่อที่เป็นมงคล
วัน ชื่อเพศชาย ความหมาย ชื่อเพศหญิง ความหมาย
วันอาทิตย์ ชยุตม์ ชัยชนะสูงสุด จามิกร เครื่องทอง
วันอาทิตย์ จิรายุ อายุยืน ฐานิดา ผู้มีฐานะ
วันจันทร์ นนทกร ผู้สร้างสิ่งใหม่ ๆ นวรัตน์ แก้วเก้าประการ
วันจันทร์ จักรภัทร ผู้เจริญในแว่นแคว้น กชพร ดอกบัวประเสริฐ
วันอังคาร ปวริศร์ ผู้ยิ่งใหญ่ ใจรจิต หญิงสาวผู้มีใจงดงาม
วันอังคาร ปัทมราช พลอยสีแดง บริมาส พระจันทร์เต็มดวง
วันพุธกลางคืน รังสิมันต์ ผู้มีแสงสว่าง ภควดี สตรีที่เคารพ
วันพุธกลางคืน กีรติ ผู้มีเกียรติ เยาวเรศ หญิงสาวสวย
วันพฤหัสบดี สุปรีย์ เป็นที่รักยิ่ง ณัฎฐา เจ้าปัญญา
วันพฤหัสบดี สรวิศ ผู้มีอำนาจ ศุภกรณ์ ผู้ที่ทำความเจริญ
วันศุกร์ ฉันทิศ เป็นใหญ่ด้วยตนเอง บัณฑิตา ผู้ฉลาด ผู้รู้
วันศุกร์ เมธา ปัญญา ความรู้ กัณฐิกา สร้อยคอ
วันเสาร์ วิชยา ชัยชนะ โชติรส แก้ววิเศษ
วันเสาร์ สิทธา ผู้สำเร็จ สุมนัศ ใจดี
วันพุธกลางคืน อนวัช ไม่มีที่ติ อรชร งาม
วันพุธกลางคืน นวคุณ ทองคำเนื้อเก้า ขนิษฐา ชื่อดาวฤกษ์

การเปลี่ยนชื่อ

ทะเบียนชื่อบุคคล

การเปลี่ยนชื่อตัวและชื่อรอง
ตาม พ.ร.บ. ชื่อบุคคล พ.ศ. 2505 บุคคลสัญชาติไทยต้องมีชื่อตัวและชื่อสกุลและจะมีชื่อรองด้วยก็ได้
* ชื่อตัว คือ ชื่อประจำตัวบุคคล
* ชื่อรอง คือ ชื่อซึ่งประกอบถัดจากชื่อตัว
* ชื่อสกุล คือ ชื่อประจำวงศ์สกุล
หลักเกณฑ์การตั้งชื่อตัวและชื่อรอง
ต้องไม่พ้องหรือมุ่งหมายให้คล้ายกับพระปรมาภิไธย หรือพระนามของพระราชินี หรือราชทินนาม
ต้องไม่เป็นคำหยาบหรือมีความหมายหยาบคาย
ต้องไม่มีเจตนาในทางทุจริต
ผู้ได้รับหรือเคยได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ โดยมิได้ถูกถอด จะใช้ราชทินนามตามบรรดาศักดิ์เป็น
ชื่อตัวจริง ชื่อรองก็ได้
ขั้นตอน
* ผู้ยื่นคำขอตามแบบ ช1 ต่อนายทะเบียนท้องที่ที่ตนมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน
* นายทะเบียนท้องที่ตรวจสอบคำขอกับทะเบียนบ้าน และชื่อที่ขอเปลี่ยนให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์
* กรณีอนุญาตสำหรับบุคคลสัญชาติไทย นายทะเบียนท้องที่จะออกหนังสือสำคัญแสดงการเปลี่ยน
ชื่อตัวชื่อรอง (แบบช.3) ให้เป็นหลักฐาน
* กรณีบุคคลต่างด้าว นายทะเบียนท้องที่จะออกหนังสือรับรองการเปลี่ยนชื่อตัวของคนต่างด้าวให้
เพื่อประกอบหลักฐานการแปลงชาติ หรือคืนสัญชาติเป็นไทยเมื่อได้รับอนุญาตแล้ว นายทะเบียน
ท้องที่ จึงออกหนังสือสำคัญแสดงการเปลี่ยนชื่อตัวหรือชื่อรองให้เป็นหลักฐาน และเรียกเก็บค่า
ธรรมเนียม 25 บาท
* เมื่อได้รับหนังสือสำคัญแล้ว ให้ผู้ขอนำหนังสือดังกล่าวไปขอแก้ไขรายการในทะเบียนบ้านและ
หลักฐานอื่น ๆ ให้ถูกต้อง และขอเปลี่ยนบัตรประจำตัวประชาชนด้วย
เอกสารประกอบการดำเนินการ
1. สำเนาทะเบียนบ้าน
2. บัตรประจำตัวประชาชน
3. ใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว (กรณีบุคคลต่างด้าว)

when i was young

when i was young
like a boy

จัดให้เต็มๆ

จัดให้เต็มๆ
มองไรนักหนา ไม่เคยเห็นคนน่ารักไง คนไรก็ไม่รู้