ขอน้อมอาลัย สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์

เว็บนี้สามารถใช้งานได้ตามปกติแล้ว



ร่วมเติมเต็มทุกหัวใจของคนที่มีรักได้ที่นี่

แล้วคุณจะรู้ว่า
ปรารถนาจะเป็นผู้สั่งการ
หัวใจคือผู้เร่งเร้าให้รุ่มร้อน
เรือนกายคือผู้ปฏิบัติตามปรารถนา
ทุกสิ่งจะเป็นไปตามครรลองของมันเองทุกประการ

ที่นี่จะรวมบทวิจารณ์ รวมถึงข่าวสารสาระที่เป็นประโยชน์ต่างๆไว้
โดยเฉพาะที่มาจากความคิดเห็นของผู้แต่งเอง
ทั้งนี้ผู้แต่งจะไม่ขอรับผิดชอบใดๆ อันเกิดจากการนำข้อความดังกล่าวที่ปรากฏในบล็อกไปใช้อย่างไม่เหมาะสม
เข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็น ติชม กันเยอะๆนะคะ
ขอบพระคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ


ด้วยความปราถนาดี

R-ka



ผู้เยี่ยมชมสามารถเข้าชมได้อีกบล็อกนึง คือ

http://www.rka-state.vox.com/


Mariah Carey - Bye Bye

lay on my high-heels

lay on my high-heels
งานบายเนียรปี2008 ค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2550

และวันนี้ ฉันก็ค้นพบตัวเองว่าต้องการอะไร


ฉันเติบโตมาในครอบครัวที่ค่อนข้างเข้มงวด ทุกอย่างต้องอยู่ในกฏระเบียบ

ฉันไม่เคยได้มีโอกาสสัมผัสชีวิตแบบเด็กคนอื่นๆ

ที่ได้เที่ยวเล่นและคลุกคลีกับเพื่อนๆ

บางครั้งก็ทำให้ฉันร้องไห้ อยากทำอะไรที่หลุดกรอบไป

ละทิ้งกรงไปสู่โลกภายนอกอย่างไร้เดียงสา

จนเกือบพลาดพลั้งเสียคน

ทว่า... เพราะพ่อและแม่ ท่านช่วยเหลือให้กลับมายืนอยู่ตรงจุดเดิมได้อีกครั้ง

ตอนนี้ฉันเองไม่อาจปฏิเสธได้ว่าความคิดชั่ววูบที่ว่าท่านบงการชีวิตนั่น กลับทำร้ายตัวฉันเสียเองเข้าแล้ว

ฉันยอมที่จะรับฟังด้วยเหตุผลมากกว่าใช้อารมณ์ตัวเองตัดสินว่าทุกอย่างดีหรือไม่ดี

นั่นคือ ก้าวหนึ่งที่ทำให้ฉันเติบโต
ฉันเป็นคนขี้อิจฉาและทะเยอทะยาน
บางครั้งพลอยทำให้ตัวเองเดือดร้อน อันเนื่องมาจากการกระทำและคำพูดของตนเอง
ใครกันที่บอกว่าฉันรักแต่ตัวเอง
ใช่ ฉันยอมรับ
ความรักต้องเริ่มต้นจากตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก
ฉันไม่ได้เห็นแก่ตัว แต่ อย่างน้อย ก็ยังมีเกราะป้องกันตัวอย่างหนึ่งเวลาที่ผิดหวังและไม่มีใคร
ฉันเดินมาถึงจุดเปลี่ยน
กับการที่จะเลือกทางเดินชีวิตของตนเองที่ไกล แต่ต้องหลอกตัวเอง
กับทางที่ขรุขระ ที่จะเลือกเป็นในสิ่งที่ตนเองอยากเป็น
ไม่ว่าใครจะพยายามห้าม หรือยุ
สุดท้ายฉันก็เลือก ทางสุดท้ายนั้น
แม้รู้ว่าจะต้องเจ็บปวด
แต่ฉันก็พอใจ
และเชื่อว่าใครๆจะต้องยอมรับในศักยภาพที่ฉันมี มากกว่าการเป็นคนแพศยาไร้แก่นสาร
ฉันยอมรับว่าไม่ใช่ผู้หญิง เรียนก็งั้นๆๆ แต่ก็อยากเรียนรู้ไปเรื่อยๆๆ หลายอย่าง
อยากทำอยากเดินตามหาทางของตัวเองต่อไปแม้ว่า ฉันเคยผิดหวังกับการที่ไม่สามารถเรียนในสายทางที่ตนเองอยากเรียนนั้นได้
วั้นนี้ฉันต้องเลิกกับแฟนของตัวเอง คนที่เคยตั้งใจและคาดหวังว่าจะเป็นคนเดียว คนสุดท้ายที่ฉันจะรักและอยู่กับเขาตลอดไป
มันยากที่จะทำใจ
ขอบคุณที่ยังรักและให้เกียรติเสมอนะ แม้ว่า คงอึดอัดที่จะเปนแค่เพื่อน หรือ อนาคตจะเป็นไปได้หรือไม่ ที่จะกลับมาคบกันอีกครั้ง
จะเก็บเธอไว้เป็นความทรงจำที่ดี ตลอดไป
ฉันรู้ว่าฉันไม่ได้ต้องการความรักจากคนอื่นๆ
แต่อยากมอบสิ่งดีๆๆให้กับคนอื่นๆตอบแทนบ้าง
อยากเปิดหูเปิดตาตัวเองมองโลกในมุมมองที่กว้างขึ้น
ปลดเปลื้องพันธนาการทั้งหลายออก
ขอบคุณเพื่อนๆพี่ๆที่ได้พูดคุยและรู้จักกันทุกคนนะคะ
นับเป็นช่วงเวลาดีๆที่ทำให้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง
ตอนนี้อาร์กำลังมุ่งมั่นที่จะไปแอฟริกาให้ได้ค่ะ
ไปเป็นอาสาสมัครที่นั่น
ได้พบปะพูดคุยคนที่แต่งต่างกันออกไป จากที่เคยพบเห็น
อยากให้ตนเองเรียนจบเร็วๆ ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกเร็วๆ จะได้ไปที่นั่นเร็วๆ
อาร์คาดว่าตนเองคงเดินมาถูกทางแล้ว
ถึงเวลาที่ควรตอบแทนให้กับเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆบ้าง
นึกแล้วมีความสุขจัง
อย่าที่เคยโพสต์ในเมล
"ไปทำไมสบายๆ ไปที่ที่ลำบากๆดีกว่า"
แหมทำอย่างกับจะไปพรุ่งนี้
คนมันตื่นเต้นนี่นา
ปีหน้านู่น ช่วงมีนาคม 51
ช่วยอวยพรให้อาร์ได้ไปด้วยนะคะ
อยากให้นี่เป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆที่อาร์จะทำเพื่อคนอื่นๆบ้างค่ะ เป็นของขวัญให้กับวันเกิดของตัวเองด้วย
*จากรูปด้านบน *กอล์ฝ ท่านก็บวชไปแล้ว ยังไม่สึกเลย เดือน สองเดือนล่วงมาแล้ว อนุโมธนาด้วยนะคะ ท่าน อาร์เองก็พบทางของตนเองแล้วเหมือนกัน
สุดท้ายนี้ ถึงอดีตแฟนนะคะ
เชน เราเลิกแล้วต่อกันนะ อาร์ขอให้เราจบและจากกันด้วยดีเถอะ
รสิน อยู่ข้างบนสบายดีไหม อาร์ยังคิดถึงอยู่เสมอนะ
หลง อาร์รู้ว่าหลงไม่เคยรักอาร์เลย ขอบคุณที่ยังให้เกียรติเสมอ และเป็นตัวแทนของคนบนสวรรค์ที่ทำให้อาร์พึงระลึกถึงคนนั้นเสมอๆนะ
และยิ่ว ขอบคุณที่รักอาร์นะ แม้ว่าสุดท้าย...

ห้องสงบอารมณ์:การเดินทางออกจากการเป็นบ้า

บทวิจารณ์ ห้องสงบอารมณ์ : การเดินทางออกจากการเป็นบ้า


อาการทางจิตคืออะไร?
หลายคนยังมีความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องและมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับอาการดังกล่าวว่าล้วนแต่มีสาเหตุเกิดขึ้นจากความเครียด หรือไม่ ก็เป็นผลมาจากความผิดปกติทางสมองมาตั้งแต่เด็ก ทำให้คนกลุ่มนี้มีพฤติกรรมที่แตกต่างจากคนปกติทั่วไป บ้างก็อาจสร้างความรำคาญหรือเป็นอันตรายต่อผู้อื่น ทำให้ไม่สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นๆในสังคมได้ จึงจำกัดคนกลุ่มนี้ออกไปจากสังคม ให้อยู่ในเฉพาะที่ที่สังคมได้กำหนดไว้ อาทิ โรงพยาบาล หรือ สถานบำบัดทางจิต เป็นภาระให้สังคมต้องรับผิดชอบในการควบคุมดูแล
แพทย์หญิง เจน ดอลเลอร์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ทางคลินิก แห่งวิทยาลัยการแพทย์ มหาวิทยาลัยคอร์แนล โรงพยาบาลนิวยอร์ก สาขาเวสท์เชสเตอร์ ได้ให้คำนิยามเกี่ยวกับโรคจิตเภทไว้ดังนี้ “จิตเภท (schizophrenia) ไม่ใช่บุคลิกภาพแตกแยก แต่เป็นโรคทางสมอง เกิดจากความไม่สมดุลทางเคมี คนเป็นโรคจิตเภทมีอาการประสาทหลอน พวกเขาได้ยินเสียงสั่งให้ทำโน่นทำนี่ ได้ยินเสียงพูดเกี่ยวกับตัวเขา บางครั้งก็มีอาการหลงผิด เช่นคิดว่าตนเป็นผู้เผยวจนะเอลียาห์หรือโมเสสในคัมภีร์ไบเบิล คนที่เป็นโรคจิตเภทป่วยหนักมาก ส่วนใหญ่คนจะเริ่มเป็นโรคนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย เพิ่งเริ่มต้นชีวิต บางครั้งยาช่วยควบคุมอาการประสาทหลอนได้ บางครั้งยาก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย บ่อยครั้งอย่างยิ่งที่คนเป็นโรคจิตเภทไม่หายป่วย บางคนต้องใช้ชีวิตในสถานบำบัด”
ห้องสงบอารมณ์ : การเดินทางออกจากการเป็นบ้า ประพันธ์โดย ลอรี่ ซิลเลอร์ และ อแมนด้า เบ็นเน็ตต์ แปลโดย เครือวัลย์ เที่ยงธรรม เป็นเรื่องราวที่อ้างอิงจากชีวิตจริงของ ผู้ป่วยที่มีอาการทางจิต คือ ลอรี่ ซิลเลอร์ ตัวผู้แต่งนั้นเองเธอเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะ เธอชื่นชมในความสำเร็จพ่อตนเองมากและตั้งใจเรียนจนมีผลการเรียนดี ทำให้พ่อแม่ตั้งความหวังในตัวลูกสาวคนนี้สูงเช่นกัน เธอเริ่มมีอาการผิดปกติทางจิต หรือ “หูแว่ว”นี้ในช่วงวัยรุ่น เช่นเดียวกันกับคนอื่นๆในสังคมที่มักมองข้ามอาการเริ่มต้นของตนเองไป อาจเป็นเพราะความอับอายและกลัวการถูกรังเกียจจึงปกปิดอาการของตนเองไว้ ซึ่งตัวเธอเองมีอาการเป็นๆหายๆมาตลอด กระทั่งเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย เพื่อนของเธอสังเกตเห็นบุคลิกภาพและความสัมพันธ์กับคนรอบข้างที่เปลี่ยนแปลงไปของเธอ แต่พ่อแม่ของเธอกลับเข้าใจว่าเป็นอาการวิตกกังวลทั่วไปของวัยรุ่น จึงแนะนำให้ลอรี่เข้ารับการรักษากับจิตแพทย์ ทว่าตัวลอรี่เองไม่ยอมรับว่าตนเองป่วยและไม่กล้าที่จะบอกเล่าอาการความผิดปกติที่เกิดขึ้นนี้แก่จิตแพทย์ส่วนตัวของเธอ กระทั่งเมื่อเธอเรียนจบและเข้าทำงานได้ระยะหนึ่งเพื่อนของเธอพบว่า เธอกินยาเกินขนาด ต้องนำตัวส่งโรงพยาบาล จากคำวินิจฉัยของแพทย์ พ่อแม่ของเธอรับไม่ได้ว่าเธอมีอาการทางจิต จึงไม่ยอมให้ลูกเข้ารับการรักษา ทำให้เธอมีอาการแย่ลงและพยายามที่จะฆ่าตัวตายอีกครั้ง ส่งผลให้ทั้งสองท่านตระหนักถึงอาการป่วยของลูกสาว ยอมให้เธอเข้ารับการรักษาอาการทางจิตตามความเห็นของแพทย์
ด้วยความหวังที่จะให้ตนเองหลุดพ้นจากความทรมานของโรค การรักษาครั้งแรกที่คลินิกเพนวิทนีย์ ลอรี่ ได้รับการรักษาหลายวิธี ทั้งการทดลองยาหลายชนิดและให้ในปริมาณที่มาก อีกทั้งการรักษาโดยใช้ไฟฟ้าบำบัด แต่ก็ทำได้เพียงให้ช่วยอาการดีขึ้นแค่เพียงชั่วคราวเท่านั้นและมีผลเสียคือการเกิดอาการเร็วขึ้นกว่าเดิม ที่สำคัญคือ วิธีการรักษาแบบลองผิดลองถูก การเปลี่ยนแพทย์ผู้รักษาบ่อยครั้ง บวกกับการปฏิบัติกับคนไข้ที่ไม่ถูกต้อง ทำให้



แพทย์ไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้ถูกต้อง อาการของเธอจึงยังไม่ดีขึ้น พ่อของเธอจึงนำเธอออกจากสถานพยาบาลด้วยความคิดที่ว่า ควรทดลองให้ลอรี่ใช้ชีวิตในสังคม น่าจะเป็นวิธีที่ช่วยให้เธอมีอาการดีขึ้น มากกว่าให้เธออยู่ในสถานพยาบาล ซึ่งการใช้ชีวิตภายนอกนี้เอง เธอพบว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับพ่อแม่เริ่มเปลี่ยนแปลงไปมาก ทำให้เธอเริ่มหันเหไปพึ่งยาเสพติดจากเพื่อนที่ทำงานในร้านอาหารที่เธอทำงานอยู่ ใช้เป็นทางออกในการควบคุมอาการที่เกิดขึ้นของเธอแทนการไปพบจิตแพทย์ข้างนอกชื่อ หมอ ร้อคแลนด์ที่ไม่ช่วยให้เธอดีขึ้น เมื่อพ่อแม่ของเธอพบว่าเธอเสพยา จึงส่งเธอไปบำบัดยาเสพติดทันที
เธอกลับมาใช้ชีวิตและเริ่มต้นทำงานใหม่อีกครั้งโดยการเป็นเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลศูนย์จิตเวช ไรย์ เธอทำงานดูแลผู้ป่วยทางจิตได้ดี และตัดสินใจที่จะเรียนพยาบาล ทว่า อาการของเธอเกิดขึ้นอีกครั้ง เธอจึงตัดสินใจเข้ารับการรักษาอีกครั้งที่โรงพยาบาลนิวยอร์ก ตามคำแนะนำของหมอร้อคแลนด์ในหน่วยดูแลอาการรุนแรง เธอไม่ยอมร่วมมือในการรักษาของแพทย์และต่อต้าน จนต้องเข้าห้องสงบอารมณ์หลายครั้ง และต้องออกมารับการรักษาในบ้านกึ่งวิถี โรงพยาบาลเซนต์วินเซนต์ ที่นี่เองเธอเริ่มปล่อยเนื้อปล่อยตัว วิตกกังวลและเครียด เนื่องจากหมดหวังและท้อแท้กับอาการของตนเอง และหันมาเสพยาเสพติดอีกครั้ง
การรักษาในบ้านกึ่งวิถีนั้น ลอรี่ ได้ออกมาใช้ชีวิตภายนอกตามปกติร่วมกับการรักษา ทำให้เธอพยายามฆ่าตัวตายอีกครั้งแต่ด้วยการช่วยเหลือจากเพื่อนผู้ป่วย ทำให้เธอตระหนักถึง คุณค่าของการมีชีวิตอยู่และตั้งใจที่จะต่อสู้กับอาการของโลกอีกครั้ง เธอได้ลงชื่อเข้ารับการรักษาเป็นผู้ป่วยจิตเวชเรื้อรังในหน่วยการรักษาระยะยาวของโรงพยาบาลนิวยอร์ก ที่นี่เอง เธอได้พบกับจิตแพทย์ทั้งสองคนคือ หมอ เจน ดอลเลอร์ และหมอฟิชเชอร์ ทำให้เธอเปิดใจบอกเล่าอาการของตนเองผ่านการเขียนบันทึกประจำวัน ซึ่งช่วยให้เธอมีความเข้าใจกับอาการของโรคมากขึ้นและไม่ต่อต้านการรักษา ทั้งยังเสนอตัวเองทดลองรักษากับยาตัวใหม่ที่อยู่ในขั้นทดลอง คือ โคลซาพีน
ในที่สุดเธอก็สามารถออกจากโรงพยาบาลโดยที่เธอมีอาการดีขึ้น ควบคุมตนเองได้มากขึ้น บุคลิกภาพที่เปลี่ยนแปลงไป อันเนื่องมาจากอาการป่วยกลับมาเป็นดังเดิมเช่นเดียวกับก่อนที่เธอจะมีอาการของโรค ไม่ทำตัวแตกแยกจากสังคม สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ ไม่อายที่จะขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้างเมื่อตัวเองมีอาการเกิดขึ้น และที่สำคัญคือ เธอสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติเช่นเดียวกับคนอื่นๆในสังคม
หนังสือ เรื่อง ห้องสงบอารมณ์ : การเดินทางออกจากการเป็นบ้า คือหนังสือเล่มหนึ่งที่ แสดงให้เห็นแง่มุมหนึ่งของโรคจิตเภทผ่านการบอกเล่าจากผู้ป่วยที่มีอาการผิดปกติ ครอบครัวของผู้ป่วย เพื่อนของผู้ป่วยและแพทย์ผู้ทำการรักษาทางจิตโดยกล่าวถึงอาการของโรค ความพยายามของผู้ป่วยในการต่อสู้กับอาการของโรคที่ปรากฏขึ้นได้ตลอดเวลา บุคลิกภาพและการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วย ทัศนคติของผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย รวมถึงวิธีการในการรักษาและปฏิบัติต่อผู้ของแพทย์และเจ้าหน้าที่ ช่วยให้ผู้อ่านการเปิดโลกทัศน์ใหม่เกี่ยวกับอาการป่วยทางจิต ว่าไม่ใช่เรื่องไกลตัวเราอีกต่อไปและสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกๆคน โดยนำเสนอในรูปแบบของบันทึก สามารถอ่านและทำความเข้าใจกับเนื้อหาได้ง่าย แม้จะมีจำนวนหน้า 300 กว่าหน้าก็ตาม คำศัพท์ทางวิชาการต่างๆไม่ได้เป็นอุปสรรคในการอ่านแม้แต่น้อยและช่วยให้มีความเข้าใจในเนื้อหามากขึ้น หนังสือเล่มนี้จึงไม่จำกัดอยู่แค่เพียงกลุ่มผู้ที่มีความสนใจในอาการความผิดปกติทางจิตเท่านั้น ผู้อ่านท่านอื่นๆทั่วไปก็สามารถอ่านหนังสือเล่มนี้ได้ อีกทั้งยังสามารถเผยแพร่ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคแก่ผู้อื่นเพื่อเป็นประโยชน์แก่สังคมได้ต่อไป




เมื่อเปรียบกับสังคมไทยในปัจจุบัน เราไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า สังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากตามกระแสวัฒนธรรมต่างชาติในด้านต่างๆที่หลั่งไหลเข้ามา ผสมกลมกลืนเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของเราแทบทั้งสิ้น แน่นอนว่าความคิดและค่านิยมของคนไทยก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
จากที่มีผู้กล่าวไว้ว่า “ เด็กในวันนี้ คือผู้ใหญ่ในวันหน้า” ทำให้เราทราบว่าเยาวชน คือกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งในสังคมที่ถูกคาดหวังจากคนในสังคมอย่างมากว่า จะเป็นกำลังในการพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคต ทำให้เยาวชนในปัจจุบันต้องอยู่ในสภาวะการแข่งขันภายใต้ความกดดันทั้งทางครอบครัวและสังคมสูง เริ่มต้นจากครอบครัว พ่อแม่มีการวางแผนอนาคตให้ลูกของตนตั้งแต่เกิดมาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ตั้งแต่วิธีการเลี้ยงดูที่แตกต่างไปในแต่ละครอบครัว การศึกษาเห็นได้ชัดจากการที่ พ่อแม่นิยมให้ลูกเรียนพิเศษเพื่อสอบเข้าสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียง ให้ทำคะแนนเรียนในชั้นได้มากเพื่อหวังเกรดนิยมและโอกาสในการศึกษาต่อ รวมถึงการส่งเสริมให้ลูกของตนมีความสามารถพิเศษต่างๆอาทิ การแสดง การร้องเพลง ดนตรี กีฬา ฯ เพื่อเป็นหน้าเป็นตาแก่วงศ์ตระกูล ทำให้เยาวชนมีความเครียด มีเวลาในการทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัวลดลง เกิดช่องว่างระหว่าง ลูกกับพ่อแม่ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของปัญหาครอบครัวยังผลมาจากการที่เยาวชนส่วนนี้นิยมแก้ปัญหาด้วยตนเองหรือปรึกษาเพื่อนมากกว่าพ่อแม่ของตน แต่ด้วยวุฒิภาวะที่น้อยกว่าวัยผู้ใหญ่ทำให้การแก้ไขปัญหาของพวกเขาได้รับการแก้ไขในทางที่ถูกต้องบ้างไม่ถูกต้องบ้าง บางรายอาจลงเอยด้วยการติดยาเสพย์ติด การฆ่าตัวตายเมื่อไม่สามารถแก้ปัญหาของตนเองได้ และเยาวชนจำนวนไม่น้อยที่ลงเอยด้วยการมีอาการผิดปกติทางจิต เป็นปัญหาทางสังคมใกล้ตัวที่เกิดขึ้นซ้ำซากและพบเห็นได้จากสื่อต่างๆทั่วไป สามารถเกิดขึ้นได้กับแทบทุกครอบครัวไม่แบ่งแยกว่าจะมีฐานะทางสังคมอย่างไร
ครอบครัวจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการดูแลและพัฒนาเยาวชนของชาติให้มีศักยภาพและคุณภาพ โดยมีความรักความเข้าใจกันภายในครอบครัวเป็นเกราะป้องกันที่จำเป็นอย่างมากในปัจจุบัน พ่อแม่จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนบทบาทวิธีการดูแลลูกของตนมากกว่าแค่ในฐานะผู้ปกครอง ทำความเข้าใจกับพฤติกรรมธรรมชาติของเด็กให้มากขึ้น ปลูกฝังให้เด็กมีความภาคภูมิใจในตนเองไม่สร้างกดดันแก่ลูกของตนมากเกินไป คอยสอดส่องดูแลพฤติกรรมของลูกๆ หากเป็นสิ่งที่ดีก็ควรส่งเสริมสนับสนุนให้เขาทำ หากเป็นสิ่งไม่ดีก็ควรตักเตือนและหากิจกรรมอื่นที่ดีให้เขาทำ อย่าปล่อยปะละเลยหรือมองข้ามปัญหาแม้เพียงเล็กน้อยไป ที่สำคัญ คือ การเปิดใจยอมรับฟังปัญหาที่เกิดขึ้นและหาวิธีทางแก้ไขที่ถูกต้องร่วมกัน มากว่าที่จะให้เด็กลองผิดลองถูกด้วยตนเอง หากมีปัญหาเกิดขึ้นก็ควรเปิดใจรับรู้ทำความเข้าใจและหาทางแก้ปัญหาร่วมกัน ไม่ทอดทิ้งให้เด็กต้องเผชิญกับปัญหาดังกล่าวตามลำพัง ให้กำลังใจและให้โอกาสลูกของตนต่อสู้กับปัญหาโดยไม่ท้อแท้เสียเอง กล้าที่จะยอมรับปัญหาที่เกิดขึ้นมากว่าปกปิดและเพิกเฉย รวมไปถึงการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่ตนเองมีร่วมกับผู้อื่นในการแก้ไขปัญหา เพื่อเยาวชนจะได้เติบโตเป็นบุคคลที่มีคุณภาพทั้งในด้านความรู้และคุณธรรมควบคู่กันไป สามารถปรับตัวและใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุข เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ และต่อยอดในการพัฒนาเยาวชนรุ่นต่อไปให้มีคุณภาพในอนาคต

----------------------------------------------------------------------------

วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2550

คนที่ร้อยที่เข้าบล็อก กรุณาติดต่อกลับด่วน

ส่งเมลล มาบอกด้วยนะคะ
ขอบคุณมากคะ แล้วเราจะขอคุยด้วยนิดหน่อยนะคะ
บางทีเรื่องของคุณอาจเป้นส่วนหนึ่งของเรา
ติดต่อกลับด่วนนะคะ

วันพฤหัสบดีที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2550

ขอบพระคุณที่ติดตามและห่วงใยกันและกันมาตลอดนะคะ


ช่วงนี้สุขภาพดาวน์ลงมากๆ

ไม่ไหวเลยที่ป่วยบ่อย อาจเป็นเพราะหักโหมงานมากไปจริงๆ

อย่างน้อยก็ยังมีข่าวดีที่บุคคลท่านนั้นยอมออกไปจากชีวิตของอาร์ได้สักที

และแน่นอนว่าอาร์เองก็คืนของที่เขาให้มาไปหมดแล้ว


แหมๆๆรู้งี้แจ้งความแต่ทีแรกก็ดีน่ะสิ


ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามบล็อกของอาร์นะคะ

จะพยายามอัพให้บ่อยค่ะ

รักทุกท่านเลยนะคะ จุ๊บ

R-ka

วันอังคารที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2550

คำชี้แจง and letter to my dear, Rabih

เนื่องจากระยะนี้คอมพิวเตอร์ของอาร์ก้ามีปัญหาจึงไม่สามารถออนไลน์และโพสต์บล็อกได้สะดวกเท่าไรนัก
แถมปัญหาทางด้านสุขภาพและเรื่องส่วนตัวบางประการอีก
จำเป็นต้องขอโทษผู้ที่ติดตามเรื่อง ครั้งหนึ่ง... ถึงคนที่เคยรัก มา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

to Rabih
i didn't see u on msn and recieve ur answered mail from u.
i would like to know how about u in the hardship circumstance on ur country.
i always miss u so much and hope u will save in ur place.
i still wait ur mail and appreciate to talk with u soon, my dear.
truly yours, R-ka

วันพุธที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2550

stable sustenance


ขออนุญาตนำมาลงไว้นะคะ อ่านได้ใน http://www.nationmultimedia.com/life/20070523/ ได้อีกทางนะคะ




Stable sustenance

She started off with 10 piglets. Now she's the village leader, teaching others to earn a living - all thanks to a small communityprogramme
Watching Awooma Lomo as she farms her land in Ban Huaychansri, a community high in the mountains of Chiang Mai's Mae Ai district, it's hard to imagine the difficulties this 30-something Akha woman has had to overcome in her short life.Yet, in less than two decades, Awooma has gone from being a teenage prostitute to village leader and today her farm serves as a training centre for other hill tribes to learn about sustainable agriculture. Awooma was just 16 when she went to Chiang Mai to earn money for the family. After working as a prostitute for a few years, she met a man and they got married.Her happiness, unfortunately, was short-lived. Unable to live with his drug addiction, she returned home with their newborn child in her arms.She used her savings to open a restaurant, but the business soon failed - the villagers were too disgusted by her former profession to frequent the premises.Then, in 2002, non-profit organisation Heifer International arrived in Ban Huaychansri.When Heifer, which emphasises community involvement and teaches sustainable development, offered her the chance to learn about integrated agriculture, such as growing fruits and vegetables simultaneously, making fertiliser and caring for cattle, pigs, poultry and catfish, Awooma jumped at the chance, even though she had little formal education. As part of the project, she was given 10 piglets to raise and after six months she managed to sell the animals for Bt30,000. Her hard work and diligence also won her acceptance from the villagers, leading the project staff to send her story to their headquarters in the US with a recommendation for an award.And they weren't disappointed. In 2005, Awooma received the Wild Award Grassroots Achievement from Heifer International USA.The NGO's helping hand has also been felt in Ban Huaygum, a Lahu hilltribe village also in Mae Ai district, which can only be accessed during the dry season.About 30 families in Ban Huaygum have long farmed their land that is largely dependent on the weather. Few members of the community have been educated beyond primary school so have little option but to seek jobs when they can't work in the fields.Local government has shown no interest in offering assistance or investment, so last year, they appealed to Heifer for aid. The organisation sent in staff to provide training and give technical advice, and followed up with a community-based project. Heifer provided black pigs, which would be ready to sell within six months, and taught the farmers how to produce fertiliser and bio gas from the animals' waste. Today, the villagers raise catfish, poultry and cultivate vegetable gardens around their houses. Excess eggs and produce is sold and the money is put into a community investment fund for the future.Heifer has been promoting sustainable development in Thailand for 33 years and has also assisted groups with special needs, such as HIV/Aids and leprosy patients, in earning their livelihood. The organisation's philosophy emphasises community involvement and its slogan, "Passing on the Gift", means recipients agree to share the offspring of gift animals with others in need.The upshot is that the recipients become partners in development, forwarding Heifer's programme to enhance the lives of both individuals and communities, and helping to preserve forests and water resources.The Gift for Life Foundation (GLF), which was registered as a non-profit organisation in March, is now accompanying Heifer International Thailand in its mission to support poor agriculturists in rural areas, as well as the underprivileged in Thailand, Laos, Cambodia, Burma and Vietnam.So far the organisation has assisted more than 20,000 families in some 1,600 villages throughout the north and northeast of the Kingdom as well as in neighbouring countries."Integrated agriculture is one aspect of the sufficiency economy theory that can be quickly put into practice for tribal or poor people living in remote areas," explains GLF board member Dr Suchon Tungtaweevipatna."GLF has the project of providing cattle for 80 families to mark His Majesty the King's 80th birthday this year," adds Heifer country director Dr Boonlom Cheva-Isarakul. "By working together, our foundations can offer hope to people with little opportunity for a self-reliant and stable life."
Phongsatorn Manraks The Nation

อย่ากลัวที่จะแจ้งความ อย่าทนกับการตกเป็นเหยื่อ



เมื่อวันที่5 มิถุนายน ที่ผ่านมา ดิฉันได้เดินทางไปแจ้งความที่สถานีตำรวจใกล้บ้าน อันเนื่องมาจากดิฉันถูกคุกคามทั้งด้านความปลอดภัยในชีวิตและเสรีภาพ จากชายผู้หนึ่งที่ค่อนข้างกว้างขวางและมีอิทธิพลพอสมควร

บุคคลดังกล่าวได้กระทำการเชิงชู้สาว และคุกคามดิฉันทั้งที่ทำงาน ที่สถานศึกษาที่ดิฉันกำลังศึกษาอยู่ รวมถึงที่บ้าน ทำให้ดิฉันต้องเป็นวิตกกังวลอย่างมากทั้งตัวเอง และคนรอบข้าง

และเหตุอันทำให้ดิฉันจำเป็นต้องตัดสินใจแจ้งความ คือ ทันทีที่ดิฉันได้บอกเขาว่าดิฉันไม่ต้องการให้เขามาวุ่นวายกับดิฉันแบบนี้ อีกทั้งดิฉันเองก็มีคนที่คบด้วยอยู่แล้ว บุคคลดังกล่าวจึงไม่พอใจ ได้ ข่มขู่ด้วยวาจา และการกระทำ ที่ส่อไปในทางที่เป็นตรายต่อชีวิตของดิฉัน ว่า" ไหน ใคร พามา ให้ดูสิ จะเป่าให้ "

ทั้งนี้ตำรวจได้ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน และเรียกพยานที่เห็นเหตุการณ์ไปสอบปากคำ ต้องขอกราบขอพระคุณที่ท่านให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี


ทั้งนี้ดิฉันไม่ได้มีเจตนามาอวดอ้าง หรือสบประมาทผู้ใด แต่อยากเตือน เพื่อนๆ พี่ๆ และน้องๆ ทั้งหลาย ให้ระมัดระวังตัวและดูแลตัวเองให้ดี ดิฉันไม่อาจแน่ใจได้ว่า บุคคลดังกล่าวจะกระทำการใดอย่างอื่นต่อไปหรือไม่ ในฐานะที่ดิฉันยังคงเป็นมนุษย์ผู้หนึ่งก็จะยังคงต่อสู้และเรียกร้องความเป็นธรรมของตนเองต่อไป

คืบหน้าอย่างไรจะเรียนให้ทราบเป็นระยะๆ แต่ขอร้องว่าอย่าถามเรื่องนี้เลยนะคะ แสลงใจที่จะพูดจริงๆ

วันอังคารที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2550

อยากพักไหม...คุณการเดินทางมาไกลเหลือเกิน


เราเดินมาไกลแค่ไหน

กี่ก้าวที่เดินไปในแต่ละวัน

บางคนก้าวไปข้างหน้า

บางคนก้าวไปข้างหลัง


จะวิ่ง

จะกระโดด

จะเดิน

หรือคลาน

ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปทุกครั้งที่ก้าวเดิน เคยสังเกตกันบ้างหรือไม่

วัยที่โรยรา กลืนกินไปตามวันเวลาที่ผันผ่าน

บางครั้งการได้ชื่นชมกับความสำเร็จก็สั้นนัก

หากตั้งเป้าหมายไว้ช้าเกินไป

การตั้งเป้าหมายนั้น

ไม่ว่าจะสูง

หรือต่ำ

หากดิ้นรนต่อไป
หากไปถึงได้ดั่งตั้งใจ

มันจะเป็นความภูมิใจอย่างที่สุดสำหรับเราไม่น้อยเลย

วันนี้คุณเดินทางไปได้เท่าไร

หรือหยุดอยู่กับที่

เลือกเอาละกัน

when i was young

when i was young
like a boy

จัดให้เต็มๆ

จัดให้เต็มๆ
มองไรนักหนา ไม่เคยเห็นคนน่ารักไง คนไรก็ไม่รู้